จีนโชว์อาวุธสะเทือนอาเซียน ไทยติดกับดักการเมืองไร้ยุทธศาสตร์ เสี่ยงถูกกลืนในสมการโลก

05 ก.ย. 2568 | 22:55 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ก.ย. 2568 | 02:39 น.

จีนแสดงแสนยานุภาพทางทหารระดับมหาอำนาจ เขย่าภูมิรัฐศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ไทยยังไร้เป้าหมายแห่งชาติและยุทธศาสตร์ชัดเจน อาจตกเป็นเพียงตัวแปรในเกมสงครามเย็น 2.0

KEY

POINTS

  • จีนแสดงแสนยานุภาพทางทหารครั้งใหญ่ด้วยอาวุธล้ำสมัย ส่งสัญญาณเตือนถึงการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจที่ท้าทายระเบียบโลกและสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อภูมิภาคอาเซียน
  • ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะเปราะบาง เนื่องจากติดกับดักปัญหาการเมืองภายในที่ไร้เสถียรภาพ ทำให้ขาดการกำหนดยุทธศาสตร์และผลประโยชน์แห่งชาติที่ชัดเจนและต่อเนื่อง
  • การไร้จุดยืนที่มั่นคงทำให้ไทยเสี่ยงต่อการถูกลดบทบาทในเวทีโลก จากการเป็น "ผู้เล่น" ที่มีอำนาจต่อรอง กลายเป็นเพียง "ตัวแปร" ในสมการความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ

การสวนสนามครั้งใหญ่ของจีนเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 เพื่อฉลองครบรอบ 80 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานเชิงพิธีการ แต่สะท้อนถึงการขยับหมากครั้งสำคัญของปักกิ่งบนกระดานภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยการแสดงศักยภาพทางทหารครั้งนี้จีนได้ส่งสัญญาณชัดเจนว่าตนก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับทัดเทียมกับมหาอำนาจตะวันตก ทั้งขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก อาวุธเลเซอร์ โดรนใต้น้ำ ขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ข้ามทวีป ไปจนถึงระบบต่อต้านโดรนและอากาศยานไร้คนขับที่ก้าวหน้า สิ่งเหล่านี้คือเครื่องยืนยันว่าจีนไม่ได้อยู่ในฐานะ “ผู้ตาม” อีกต่อไป แต่กำลังเป็น “ผู้ท้าทาย” ที่พร้อมกำหนดกติกาใหม่ของโลก

สำหรับอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย การแสดงแสนยานุภาพครั้งนี้คือสัญญาณเตือนแรงกล้าที่ไม่อาจมองข้าม เพราะภูมิภาคนี้ถูกวางให้เป็นสมรภูมิยุทธศาสตร์หลักในสมการสงครามเย็น 2.0 ระหว่างสหรัฐฯ และจีน อินโดแปซิฟิกจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองมหาอำนาจต่างต้องการช่วงชิงอิทธิพล อาเซียนจึงไม่ใช่เพียงภูมิศาสตร์ แต่คือหัวใจของเกมถ่วงดุลโลก และไทยก็อยู่ตรงกลางของสมการนั้นโดยตรง

รองศาสตราจารย์ ดร.จักรี ไชยพินิจ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้สัมภาษณ์กับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า “แสนยานุภาพของจีนครั้งนี้ “น่าขนลุก” เพราะอาวุธที่จีนโชว์ไม่ใช่แค่ตามหลังตะวันตก แต่เป็นการก้าวขึ้นมาทัดเทียมหรือแม้แต่ล้ำหน้าในบางมิติ สิ่งนี้ทำให้ภูมิภาคเรา โดยเฉพาะไทย ต้องเผชิญแรงกระเพื่อมสำคัญ ไทยเองอาจไม่มีศักยภาพทางยุทโธปกรณ์เทียบได้ แต่จำเป็นต้องเร่งวางยุทธศาสตร์และกำหนดผลประโยชน์แห่งชาติของตัวเองให้ชัดเจน”

ทว่าความเป็นจริงกลับชวนให้ตั้งคำถามว่า ไทยพร้อมแล้วหรือยัง? เพราะในขณะที่จีนและสหรัฐฯ เดินหมากบนกระดานโลก ไทยยังคงจมอยู่กับปัญหาการเมืองภายใน ความไม่แน่นอนของรัฐบาล การขาดยุทธศาสตร์ชาติที่ต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายแห่งชาติไปตามตัวผู้นำแต่ละชุด แตกต่างจากประเทศอื่นๆ เช่น ไต้หวันที่มีจุดยืนเรื่องเอกราช หรือญี่ปุ่นที่ยึดการพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นแกนกลาง ไม่ว่านโยบายจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผลประโยชน์แห่งชาติของพวกเขาก็ชัดเจนและสม่ำเสมอ

สถานะของไทยในวันนี้จึงเปราะบาง เมื่อมหาอำนาจต่างเห็นอาเซียนเป็นพื้นที่หลักทางยุทธศาสตร์ ไทยควรมีโอกาสเป็น “ผู้เล่น” ที่ต่อรองได้ แต่กลับเสี่ยงถูกลดบทบาทเป็นเพียง “ตัวแปร” ที่ถูกกำหนดโดยผู้อื่น การที่เราไม่มีผลประโยชน์แห่งชาติที่มั่นคงชัดเจน ทำให้ยากที่จะสร้างสมการต่อรองในเวทีโลก

โจทย์สำคัญคือ ไทยจะยืนอยู่ตรงไหน หากสงครามเย็น 2.0 ปะทุรุนแรงขึ้นจริง ไทยจะเลือกเข้าข้างฝ่ายใดหรือสามารถรักษาสมดุลได้อย่างไร การขาดวิสัยทัศน์และความต่อเนื่องทางนโยบายคืออุปสรรคใหญ่ที่ทำให้เรายัง “ตามไม่ทัน” ประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค และยิ่งห่างไกลจากการก้าวไปเทียบมหาอำนาจ

บทเรียนที่ชัดเจนคือ ไทยจำเป็นต้องเร่งนิยามผลประโยชน์แห่งชาติให้ชัด กำหนดยุทธศาสตร์ความมั่นคงและการต่างประเทศที่ต่อเนื่อง ไม่ว่าการเมืองภายในจะเปลี่ยนผู้นำไปกี่ชุดก็ตาม อีกทั้งควรใช้โอกาสจากการเป็นสมาชิกอาเซียนในการผนึกกำลังร่วมกับประเทศอื่น เพื่อออกแบบท่าทีที่สอดคล้องและมีพลังในการต่อรองมากขึ้น เพราะในวันที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุค astropolitics ที่ครอบคลุมไซเบอร์สเปซและเทคโนโลยีล้ำสมัย หากไทยยังคงวนเวียนอยู่กับปัญหาพื้นฐานภายใน เราอาจตกขอบกระดานหมากโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้ไร้ศักยภาพ แต่สิ่งที่ขาดคือความชัดเจนในจุดยืนและความพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ หากยังไม่เร่งสร้างกรอบท่าทีของตนเองให้แน่นอนและเป็นรูปธรรม ไทยจะไม่เพียงถูกบดบังโดยมหาอำนาจ แต่ยังเสี่ยงถูกใช้เป็นเพียงหมากเล็กในเกมใหญ่ที่เราไม่ได้เป็นผู้เล่นหลักเลยด้วยซ้ำ