กระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยท่าทีล่าสุดต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเกิดเหตุทหารไทยได้รับบาดเจ็บและทุพพลภาพจากการเหยียบกับระเบิดสังหารบุคคลหลายครั้งในช่วงไม่ถึงหนึ่งเดือน โดยระบุว่าระเบิดดังกล่าวเป็นชนิด PMN-2 ที่ถูกนำมาวางใหม่ ไม่ใช่มรดกตกค้างจากสงครามตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นภาคี รวมถึงการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การบรรยายสรุปข้อเท็จจริงในวันนี้ต่อคณะทูตจาก 41 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ 4 แห่ง มีเป้าหมายเพื่อให้ประชาคมโลกเข้าใจสถานการณ์อย่างถูกต้อง โปร่งใส และชัดเจน พร้อมย้ำว่าฝ่ายไทยไม่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในครอบครองแล้ว อีกทั้งได้ดำเนินการประท้วงกัมพูชาในทุกช่องทาง ทั้งการแจ้งต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และการดำเนินการภายใต้อนุสัญญาออตตาวา
ฝ่ายไทยยังคงเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แสดงความจริงใจต่อการฟื้นฟูสันติภาพ และกลับมาร่วมมือกันเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณชายแดน หลังจากที่ผ่านมา กัมพูชาปฏิเสธการหารือทั้งเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์ แม้ไทยจะเสนอในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สมัยวิสามัญแล้วก็ตาม
ประเด็นนี้จะถูกหยิบยกเข้าสู่การหารือในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และ GBC ในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเป็นปัญหาที่กระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองฝั่ง โดยในวันพรุ่งนี้ (16 ส.ค. 2568) กระทรวงการต่างประเทศจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา องค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสังเกตการณ์และเก็บหลักฐานผลกระทบจากการใช้ทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งข้อมูลที่ได้จะถูกนำไปใช้ผลักดันประเด็นนี้ต่อในเวทีระหว่างประเทศอย่างรอบด้าน
ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศย้ำว่าไทยจะเดินหน้าดำเนินการกดดันในทุกช่องทาง ทั้งการทูตและความร่วมมือพหุภาคี เพื่อให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด พร้อมคงจุดยืนเคียงข้างหลักกฎหมายระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรมอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนและความสงบสุขในภูมิภาค