ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้ารอบล่าสุดของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา สร้างแรงสั่นสะเทือนในตลาดการเงินทั่วโลกทันที โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่ค่าเงินสกุลหลัก ๆ อ่อนค่าพร้อมกันเกือบทั้งภูมิภาค หลังผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในอัตราสูงถึง 25% และเตรียมขยายวงไปยังไทย ลาว รวมถึงประเทศอื่น ๆ อีกหลายแห่ง ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นแรงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ กดดันบรรยากาศการลงทุนและเพิ่มแรงขายในสินทรัพย์สกุลเงินเอเชียอย่างเห็นได้ชัด
ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นร่วงทันทีประมาณ 0.56-1.2% แตะระดับประมาณ 146-147 เยนต่อดอลลาร์ ถือเป็นการอ่อนค่ารอบใหม่ที่สะท้อนแรงกดดันจากความกังวลด้านการค้า ส่วนค่าเงินวอนเกาหลีใต้ก็อ่อนตัวในกรอบ -0.2% ถึง -0.3% ขณะที่เงินบาทของไทยเปิดตลาดที่ราว 32.57-32.58 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากวันก่อนหน้าที่เคยยืนอยู่แถว 32.53-32.54 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงเทขายในตลาดเกิดใหม่และกระแสเงินทุนไหลออก
ด้านเงินรูปีอินเดียยังถูกกดดันเช่นกัน โดยค่าเงินในตลาดฟิวเจอร์สปรับลงมาอยู่ในช่วง 85.74-85.78 รูปีต่อดอลลาร์ ขณะที่หยวนจีนในตลาดนอกประเทศ (Offshore) เคลื่อนไหวอ่อนค่าราว 7.17 หยวนต่อดอลลาร์ ท่ามกลางแรงคาดการณ์ว่าภาษีสหรัฐฯ อาจกดดันเศรษฐกิจจีนมากขึ้นในระยะถัดไป
การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐในครั้งนี้ถือว่ารุนแรง โดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นกว่า 0.5% สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ขณะที่ดัชนี MSCI ของสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ลดลงราว 0.5% นับเป็นการปรับตัวลงครั้งใหญ่ในรอบ 3 เดือน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่านี่คือสัญญาณของความกังวลว่า มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ อาจบั่นทอนการค้าโลกและกระทบการเติบโตในเอเชีย
แม้ตลาดบางส่วนเริ่มประเมินว่าสหรัฐฯ อาจไม่เดินหน้ามาตรการอย่างเต็มรูปแบบทันที เนื่องจากแรงต้านจากคู่ค้าหลักและนักลงทุนในประเทศเอง แต่ความไม่แน่นอนเช่นนี้กลับกลายเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันให้ค่าเงินในภูมิภาคยังมีแนวโน้มอ่อนค่าในระยะสั้น ขณะที่เงินบาทและสกุลเงินอื่น ๆ ของเอเชียยังต้องจับตาท่าทีของธนาคารกลางแต่ละประเทศ และการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับพันธมิตรอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางเงินทุนและความเสี่ยงจากการถูกกีดกันทางการค้าเพิ่มเติมในอนาคต
การเคลื่อนไหวของค่าเงินในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแรงสั่นสะเทือนของตลาดการเงินเอเชียที่ยังเปราะบางต่อแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับนโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ที่รุนแรงและรวดเร็วเช่นนี้ นักลงทุนจึงยังคงต้องเฝ้าระวังความผันผวนของตลาดและความเป็นไปได้ในการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าสำคัญในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง