เจาะแผนที่กองกำลังสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง ท่ามกลางความตึงเครียด

23 มิ.ย. 2568 | 00:57 น.
อัปเดตล่าสุด :23 มิ.ย. 2568 | 00:57 น.

สหรัฐฯ ปรับกำลังในตะวันออกกลาง ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในภูมิภาค ทั้งการโจมตีเป้าหมายอิหร่าน การเสริมกำลังปกป้องอิสราเอลกว่า 40,000 นายประจำในฐานเเละเรือรบ

KEY

POINTS

  • สหรัฐฯ คงกำลังทหารราว 40,000 นายในตะวันออกกลาง ครอบคลุมกว่า 19 ฐานทัพในภูมิภาค เพื่อรับมือภัยคุกคามจากอิหร่านและเครือข่ายติดอาวุธ
  • หนุนอิสราเอลเต็มรูปแบบ ส่งฝูงบิน–เรือรบช่วยสกัดขีปนาวุธอิหร่าน หลังอิสราเอลโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
  • สถานการณ์ยังตึงเครียด แม้มีหยุดยิงบางส่วน แต่ก่อนหน้านั้นทรัมป์ขู่โจมตีอิหร่าน ขณะเตหะรานเตือนอาจเกิดสงครามเต็มรูปแบบ

สหรัฐฯ ยังคงรักษาการปรากฏตัวทางทหารในตะวันออกกลาง รวมถึงกองเรือรบจำนวนหนึ่งและฐานทัพถาวรของสหรัฐฯ การที่สหรัฐฯ มีบทบาทอยู่ในภูมิภาคนี้ ทำให้สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามในภูมิภาคได้ เช่น กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน และความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน

สหรัฐฯ ยังคงมีบทบาททางทหารอย่างมีนัยสำคัญในตะวันออกกลาง โดยมีกองกำลังในกว่า 12 ประเทศ และในเรือรบตามน่านน้ำในภูมิภาค การปรากฏตัวนี้เพิ่มขึ้นในปี 2024 ขณะที่สหรัฐฯ มุ่งเน้นการป้องปรามและเอาชนะภัยคุกคามจากอิหร่านและเครือข่ายพันธมิตรติดอาวุธในภูมิภาค ได้แก่ ฮามาส (ฉนวนกาซา), ฮิซบุลเลาะห์ (เลบานอน), ฮูตี (เยเมน) และกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มในอิรักและซีเรีย

ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง

ตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างฮามาสและอิสราเอลในเดือนตุลาคม 2023 ซึ่งอิสราเอลเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ กองกำลังสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางจึงตกเป็นเป้าโจมตีมากขึ้นจากบางกลุ่ม และได้มีการโต้กลับอย่างต่อเนื่อง

ยกตัวอย่าง เช่น กองทัพเรือสหรัฐฯ และพันธมิตรได้คุ้มกันเรือพาณิชย์ในทะเลแดงและอ่าวเอเดน โดยป้องกันการโจมตีด้วยโดรนและขีปนาวุธจากกลุ่มฮูตีที่เกิดขึ้นเกือบทุกวัน แม้จะมีการหยุดยิงในเดือนพฤษภาคม 2025 ที่ยุติการโจมตีของฮูตีต่อเรือของสหรัฐฯ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เรือพาณิชย์ของประเทศอื่น ๆ ยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง

สหรัฐฯ ยังมีบทบาทสนับสนุนอิสราเอลในขณะที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้นกับอิหร่านและฮิซบุลเลาะห์ ในเดือนเมษายน 2024 เครื่องบินรบและเรือรบของสหรัฐฯ ได้สกัดโดรนและขีปนาวุธหลายสิบลูกที่อิหร่านยิงเข้าใส่อิสราเอล ในการโจมตีโดยตรงจากอิหร่านที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เดือนตุลาคมปีเดียวกัน สหรัฐฯ ประกาศส่งฝูงบินเพิ่มอีก 4 ฝูงเข้าสู่ภูมิภาค ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่อิสราเอลเริ่มบุกทางบกเข้าไปในเลบานอนเพื่อต่อต้านฮิซบุลเลาะห์ ขณะที่อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลอีกระลอก ซึ่งใหญ่กว่าครั้งก่อน กองทัพเรือสหรัฐฯ รายงานว่าได้ยิงสกัดขีปนาวุธของอิหร่านจำนวนหลายสิบลูก

เดือนมีนาคม 2025 ยังมีรายงานว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 ถูกส่งออกจากฐานทัพหลักในรัฐมิสซูรี ไปยังฐานทัพร่วมของสหรัฐฯ–สหราชอาณาจักรที่ดีเอโก การ์เซีย ซึ่งเป็นเกาะในดินแดนบริติชอินเดียนโอเชียน ที่อยู่ในระยะโจมตีถึงดินแดนของฮูตีและอิหร่าน

แม้ว่าการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮิซบอลเลาะห์ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2024 แต่ความตึงเครียดยังคงสูงอยู่ ขณะเดียวกัน อิสราเอลได้เพิ่มระดับการโจมตีต่ออิหร่าน โดยในเดือนมิถุนายน 2025 ได้เปิดปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ฐานทัพ และผู้บัญชาการระดับสูงของอิหร่าน

มีรายงานว่า เครื่องบินของสหรัฐฯ และเรือรบอย่างน้อยหนึ่งลำที่เพิ่งประจำการในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ได้ช่วยอิสราเอลสกัดขีปนาวุธตอบโต้ของอิหร่าน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า กำลังพิจารณาโจมตีอิหร่านเพื่อสนับสนุนอิสราเอล แต่ผู้นำอิหร่านเตือนว่า หากสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องมากกว่านี้ อาจนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ

กำลังพลสหรัฐฯ ตัวเลขล่าสุด

จำนวนทหารสหรัฐฯ ในแต่ละภูมิภาคสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคง ลำดับความสำคัญของนโยบายป้องกันประเทศ และปัจจัยอื่น ๆ ในช่วงปฏิบัติการใหญ่ ๆ เคยมีทหารสหรัฐฯ มากถึง 160,000 นาย ในอิรักในปี 2007 และ 100,000 นายในอัฟกานิสถานในปี 2011

เดือนมิถุนายน 2025 เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า มีกำลังพลประมาณ 40,000 นายในตะวันออกกลาง ซึ่งหลายคนอยู่บนเรือในทะเล (ลดลงจากประมาณ 43,000 นายในเดือนตุลาคม 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านพุ่งสูงขึ้น และมีการโจมตีเรือในทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 30,000 นายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา)

โดยรวมแล้ว สหรัฐฯ มีฐานทัพในอย่างน้อย 19 แห่ง ซึ่งนักวิเคราะห์ในภูมิภาคจำนวนมากระบุว่า 8 แห่งเป็นฐานถาวร ตั้งอยู่ในประเทศต่าง ๆ ได้แก่ บาห์เรน อียิปต์ อิรัก อิสราเอล จอร์แดน คูเวต กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย ซีเรีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

นอกจากนี้ กองทัพสหรัฐฯ ยังใช้ฐานทัพขนาดใหญ่ในจิบูตีและตุรกี ซึ่งอยู่ภายใต้คำสั่งบัญชาการในภูมิภาคอื่น แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติการของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง ประเทศเจ้าภาพทุกประเทศมีข้อตกลงการตั้งฐานกับสหรัฐฯ ยกเว้นซีเรีย ซึ่งรัฐบาลต่อต้านการปรากฏตัวของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม 2025 ซีเรียและสหรัฐฯ เริ่มเดินหน้าฟื้นฟูความสัมพันธ์ หลังทรัมป์ประกาศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรประเทศดังกล่าว

กาตาร์เป็นที่ตั้งของกองบัญชาการส่วนหน้า (Forward HQ) ของกองบัญชาการกลางสหรัฐฯ (CENTCOM) ขณะที่บาห์เรนมีทหารสหรัฐฯ ประจำถาวรมากที่สุด และเป็นที่ตั้งของกองเรือที่ 5 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ

กองทัพเรือเคยมีกองเรือขนาดใหญ่หลายชุดที่ปฏิบัติการในภูมิภาค แต่หลังจากการเริ่มต้นวาระที่สองของประธานาธิบดีทรัมป์ เรือรบหลายลำถูกส่งกลับสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการรักษาความมั่นคงภายในประเทศตามแนวชายแดน

รูปแบบกองเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ

เรือ USS Harry S. Truman เดินทางกลับสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน หลังจากประจำการในภูมิภาคเป็นเวลา 251 วัน ขณะที่เรือ USS Carl Vinson มาถึงทะเลอาหรับในเดือนมีนาคม

เดือนมิถุนายน กองทัพสหรัฐฯ ประกาศว่า จะส่งเรือ USS Nimitz ซึ่งประจำการอยู่ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เข้าสู่ตะวันออกกลาง เพื่อตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน กองทัพเรือยังได้สั่งให้เรือพิฆาต USS Thomas Hudner เคลื่อนตัวจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกไปทางตะวันออก เพื่อเตรียมพร้อมกรณีจำเป็น