อิหร่านจ่อปิดช่องแคบฮอร์มุซ เสี่ยงราคาน้ำมันพุ่ง กระทบหนักถึงเอเชีย

22 มิ.ย. 2568 | 22:55 น.

อิหร่านจ่อปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางขนส่งน้ำมัน 1 ใน 5 ของโลก ส่อดันราคาน้ำมันพุ่ง ชาติเอเชียอย่างจีน-อินเดีย-ญี่ปุ่นเตรียมรับแรงกระแทก

รัฐสภาอิหร่านลงมติสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในเวทีพลังงานโลก หลังมีมติให้ปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” เส้นทางเดินเรือยุทธศาสตร์ที่มีน้ำมันไหลผ่านถึง 20% ของปริมาณที่ซื้อขายในแต่ละวันทั่วโลก หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน การตัดสินใจขั้นสุดท้ายของแผนนี้กำลังรอการอนุมัติจาก “คณะมนตรีสูงสุดของอิหร่าน” ภายในคืนนี้ตามเวลาท้องถิ่น จากรายงานของสื่อทางการ Press TV ของอิหร่าน

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการตอบโต้เชิงยุทธศาสตร์ต่อการโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยสหรัฐฯ โดยพลตรีอีมาล โคซารี ผู้บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม (IRGC) กล่าวอย่างชัดเจนว่า “อิหร่านจะดำเนินการเมื่อใดก็ตามที่จำเป็น” ซึ่งการยกระดับความตึงเครียดเช่นนี้ กำลังกลายเป็นชนวนที่อาจผลักราคาน้ำมันให้พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั่วโลก

ช่องแคบฮอร์มุซถือเป็นจุดคอขวดด้านพลังงานที่เปราะบางที่สุดในโลก ด้วยความกว้างเพียง 20 ไมล์ในจุดแคบที่สุด และมีช่องทางเดินเรือเพียง 2 ช่องทาง ที่มีความกว้างไม่ถึง 2 ไมล์ต่อทิศทาง ยิ่งทำให้การโจมตีหรือปิดกั้นทำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพื้นที่โดยรอบมีความตื้น ทำให้เสี่ยงต่อการวางทุ่นระเบิดทางทะเล ขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้โจมตีจากขีปนาวุธติดฝั่ง หรือการสกัดเรือด้วยเรือลาดตระเวนและเฮลิคอปเตอร์

เกร็ก โรมัน ผู้อำนวยการ Middle East Forum ระบุว่า หากอิหร่านจะเล่นหมากนี้จริง พวกเขาไม่น่าจะใช้ยุทธวิธีแบบการปิดล้อมทางทะเลโดยตรง แต่จะหันมาใช้แผน “สงครามอสมมาตรหลายชั้น” มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นการวางทุ่นระเบิดในเส้นทางเดินเรือ ใช้ขีปนาวุธโจมตีเรือน้ำมันจากฐานยิงเคลื่อนที่ตามชายฝั่ง รวมถึงใช้โดรนฆ่าตัวตาย เรือไร้คนขับติดระเบิด หรือแม้กระทั่งการแฮกระบบนำทางและโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือ

สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งอ่อนไหวคือ บรรดาชาติอ่าวเปอร์เซีย เช่น อิหร่าน อิรัก คูเวต กาตาร์ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ต่างก็ต้องพึ่งพาช่องแคบแห่งนี้เป็นเส้นทางส่งออกน้ำมันหลัก หากเกิดการปิดช่องแคบจริง

ผลกระทบจะตกหนักไปที่ประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งนำเข้าน้ำมันจากช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก โดยเฉพาะจีนที่เป็นลูกค้ารายใหญ่สุดของอิหร่าน และมักใช้สิทธิยับยั้งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อปกป้องอิหร่าน ก็อาจต้องทบทวนท่าทีอย่างเร่งด่วน

แม้การปิดช่องแคบจะดูเป็นการขู่ที่ทรงพลัง แต่อิหร่านเองก็รู้ดีว่าการลงมือจริงอาจส่งผลย้อนกลับ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจของตนเอง เพราะไม่เพียงจะถูกตอบโต้จากกองเรือที่ 5 ของสหรัฐฯ ซึ่งเฝ้าระวังในพื้นที่อย่างใกล้ชิด แต่ยังจะสูญเสียความเชื่อมั่นจากจีน ลูกค้าหลักของน้ำมันอิหร่าน ซึ่งอาจทำให้เกิดการแตกหักด้านการค้าพลังงานในระยะยาว

โรมันชี้ว่า ถ้าอิหร่านเดินหน้าแผนนี้จริง “ก็เท่ากับฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ และผลักดันจีนให้หันหลังให้” ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ภัยคุกคามเรื่องการปิดช่องแคบ อาจเป็นเพียงเครื่องต่อรอง มากกว่าจะเป็นการลงมือจริง

ที่ผ่านมา อิหร่านมีประวัติการยั่วยุในพื้นที่มาหลายครั้ง เช่น ในเดือนเมษายนปีก่อนที่มีการยึดเรือบรรทุกสินค้าที่เชื่อมโยงกับอิสราเอล โดยอ้างเรื่องการละเมิดกฎการเดินเรือ รวมถึงการยึดเรือขนน้ำมันที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสหรัฐฯ และการควบคุมเรือบรรทุกน้ำมันของกรีซไว้ถึง 6 เดือนเพื่อตอบโต้กรณีการยึดน้ำมันอิหร่าน

ในอีกด้านหนึ่ง ประสบการณ์ของกลุ่มฮูตีในเยเมนก็กลายเป็นต้นแบบที่อิหร่านอาจหยิบมาใช้ โดยในช่วงปี 2022-2023 กลุ่มฮูตีเคยยิงขีปนาวุธและส่งโดรนโจมตีเรือสินค้าในช่องแคบบับ เอล-มันเด็บ ส่งผลให้ปริมาณการเดินเรือลดลงถึง 70% จนทำให้หลายประเทศต้องเปลี่ยนเส้นทางอ้อมทวีปแอฟริกาแทนการใช้คลองสุเอซ เพิ่มทั้งต้นทุนและเวลาขนส่งมหาศาล

โรมันเตือนเพิ่มเติมว่า IRGC Navy ของอิหร่านอาจใช้แผน “ฝูงเรือเร็ว” เข้าโจมตีพร้อมกันแบบเบ็ดเสร็จ พร้อมอาวุธและระเบิดโจมตีแบบพลีชีพ คล้ายยุทธวิธีที่ใช้ผ่านกลุ่มฮูตี อีกทั้งยังอาจเปิดแนวรบอื่น ๆ ผ่านการแฮกไซเบอร์ การโจมตีโรงกลั่นน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำจืดในกลุ่มประเทศอ่าว หรือการบ่อนทำลายโครงสร้างน้ำมันของซาอุฯ และ UAE เพื่อสร้างแรงกดดันไม่ให้ประเทศเหล่านี้สนับสนุนการตอบโต้ของสหรัฐฯ