KEY
POINTS
ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ของอิสราเอลต่ออิหร่านมุ่งเป้าไปที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน รวมถึงสถานที่สำคัญ นักวิทยาศาสตร์ และผู้นำกองทัพของประเทศนั้น ในเรื่องนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้จัดการประชุมฉุกเฉินโดยเร่งด่วน
ที่ประชุมนี้ ทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ แดนนี ดานอน ได้ปกป้องการกระทำของอิสราเอลว่าเป็น “การโจมตีเชิงป้องกัน” ที่ดำเนินการด้วย “ความแม่นยำ มีเป้าหมาย และข่าวกรองขั้นสูงสุด”
เขากล่าวว่าจุดมุ่งหมายคือ รื้อถอนโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน กำจัดผู้ออกแบบการก่อการร้ายและความก้าวร้าว และทำให้ระบอบการปกครองของอิหร่านไม่สามารถปฏิบัติตามคำประกาศซ้ำ ๆ ที่จะทำลายรัฐอิสราเอลได้
แล้วกฎหมายระหว่างประเทศว่าไว้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง “การป้องกันตนเอง” และการกระทำของอิสราเอลผิดกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่
เมื่อใดที่การป้องกันตนเองได้รับอนุญาต
มาตรา 2.4 ของกฎบัตรสหประชาชาติระบุว่า สมาชิกทั้งปวงพึงละเว้นจากการขู่เข็ญหรือการใช้กำลังในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของตนต่ออธิปไตยเหนือดินแดนหรือเอกราชทางการเมืองของรัฐอื่น หรือในลักษณะอื่นใดที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติ
มีข้อยกเว้นเพียง 2 ประการ เมื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอนุญาตให้ใช้กำลัง และเมื่อรัฐกระทำการเพื่อป้องกันตนเอง
สิทธิ “โดยกำเนิดในการป้องกันตนเอง ทั้งแบบรายบุคคลหรือแบบร่วมกัน” ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ยังคงมีอยู่ตราบใดที่คณะมนตรีความมั่นคงยังไม่ดำเนินการฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ตีความคำว่า “การป้องกันตนเอง” อย่างแคบมาโดยตลอด ในหลายกรณี ศาลได้ปฏิเสธข้อโต้แย้งจากรัฐต่าง ๆ เช่น สหรัฐ ยูกันดา และอิสราเอล ที่พยายามผลักดันการตีความคำนี้อย่างกว้างขวาง
เหตุการณ์ 9/11 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ยืนยันในมติที่ 1368 และ 1373 ว่าสิทธิในการป้องกันตนเองขยายไปถึงการตอบโต้การโจมตีจากกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐ เช่น กลุ่มก่อการร้าย
สหรัฐฯ อ้างสิทธินี้ในการดำเนินการทางทหารในอัฟกานิสถาน
ความเข้าใจแบบดั้งเดิมเกี่ยวกับการป้องกันตนเองซึ่งถือว่าเป็นเรื่องชอบธรรมเมื่อรัฐตอบโต้การโจมตีด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นจริงถูกมองว่าคับแคบเกินไปในยุคที่มีขีปนาวุธ การโจมตีทางไซเบอร์ และการก่อการร้าย จุดนี้เองที่ทำให้แนวคิดเรื่อง “การใช้กำลังก่อนการโจมตีใกล้จะเกิดขึ้น” หรือ anticipatory self-defence ถือกำเนิดขึ้น
ระดับมาตรฐานของ anticipatory self-defence ถือว่าสูงมากในมุมมองของนักวิชาการ โดยต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ความใกล้ที่จะเกิดขึ้น” (imminence) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “โอกาสสุดท้าย” ในการดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการโจมตีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ โคฟี อันนัน กล่าวไว้ในปี 2005 ว่า ตราบใดที่การโจมตีที่คุกคามนั้นใกล้จะเกิดขึ้น ไม่มีวิธีอื่นที่จะป้องกันได้ และการกระทำนั้นเหมาะสม สิ่งนี้จะตรงตามการตีความที่ยอมรับกันได้ของการป้องกันตนเองตามมาตรา 51
ดอนัลด์ รอธเวลล์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ ชี้ว่า ความชอบธรรมของ anticipatory self-defence ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเกณฑ์ที่เข้มงวด โดยต้องสมดุลระหว่างความเร่งด่วน ความชอบด้วยกฎหมาย และความรับผิดชอบ
ในปี 2002 สหรัฐฯ ได้เสนอ “หลักนิยมการโจมตีเชิงป้องกันล่วงหน้า” (pre-emptive doctrine) ในยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติของตน โดยให้เหตุผลว่าภัยคุกคามใหม่ เช่น การก่อการร้ายและอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง (WMD) ทำให้การใช้กำลังล่วงหน้าเพื่อขัดขวางการโจมตีก่อนที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องชอบธรรม
นักวิจารณ์ เตือนว่า หากแนวคิดการป้องกันล่วงหน้าได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง จะเป็นการบ่อนทำลายข้อห้ามเกี่ยวกับการใช้กำลังโดยสิ้นเชิง เพราะจะเปิดทางให้รัฐต่าง ๆ ดำเนินการฝ่ายเดียวตามข่าวกรองที่ยังไม่แน่ชัด
บทเรียนจากประวัติศาสตร์
เป้าหมายที่อิสราเอลประกาศไว้อย่างชัดเจนคือ ทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และป้องกันไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่จะนำมาใช้โจมตีอิสราเอลในอนาคต นี่เป็นการป้องกันการโจมตีในอนาคตซึ่งอ้างว่าจะเกิดขึ้น โดยใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจากข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชนทั้งหมด อิหร่านยังไม่ได้ครอบครองอาวุธดังกล่าว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่อิสราเอลใช้การตีความคำว่า “การป้องกันตนเอง”
ในปี 1981 อิสราเอลได้ทิ้งระเบิดใส่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิรัก ซึ่งขณะนั้นกำลังก่อสร้างอยู่ชานกรุงแบกแดด โดยอ้างว่าอิรักที่มีอาวุธนิวเคลียร์จะเป็นภัยคุกคามที่รับไม่ได้
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติประณามการโจมตีดังกล่าว ตามกฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน เว้นแต่การโจมตีด้วยอาวุธจะใกล้จะเกิดขึ้นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ การโจมตีล่วงหน้าเช่นนี้จึงน่าจะถูกพิจารณาว่าเป็นการใช้กำลังที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตราบใดที่ยังมีเวลาและโอกาสในการใช้วิธีการที่ไม่ใช้กำลังเพื่อป้องกันการโจมตีที่คาดการณ์ไว้ เช่น การเจรจาทางการทูต การคว่ำบาตร และการตรวจสอบโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) วิธีการเหล่านี้ยังคงเป็นแนวทางที่ชอบด้วยกฎหมายในการจัดการภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากเตหะราน