ผู้นำชาติเสียงแตก "ทรัมป์" สั่งถล่มฐานนิวเคลียร์อิหร่าน หวั่นชนวนสงครามโลก

22 มิ.ย. 2568 | 10:37 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มิ.ย. 2568 | 10:38 น.

สหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์โจมตีไซต์นิวเคลียร์อิหร่าน จุดชนวนกระแสต่อต้าน-หนุนทั่วโลก UN เตือนหายนะอาจใกล้เข้ามา ด้านอิสราเอลเชียร์สุดตัว อิหร่านลั่น "จะตอบโต้"

สหรัฐอเมริกาจุดไฟความตึงเครียดในตะวันออกกลางอีกครั้ง หลังใช้ปฏิบัติการทางทหารเข้าถล่มสถานที่นิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่เพิ่งผ่านมานี้ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้สั่งการโดยตรงให้ดำเนินการโจมตี ซึ่งก่อให้เกิดกระแสตอบรับจากทั่วโลกอย่างร้อนแรง ทั้งเสียงสนับสนุน เสียงประณาม และคำเตือนถึงอันตรายของความขัดแย้งที่อาจลุกลามบานปลาย

ผู้นำอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ออกมาแสดงความยินดีกับการตัดสินใจของทรัมป์อย่างชัดเจน โดยกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีทรัมป์ การตัดสินใจอันกล้าหาญในการโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านด้วยพลังอันยิ่งใหญ่และชอบธรรมของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์” พร้อมย้ำว่า ทรัมป์ได้ลงมือเพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบการปกครองที่อันตรายที่สุดของโลกครอบครองอาวุธที่อันตรายที่สุด

ในทางกลับกัน อิหร่านตอบโต้ทันควัน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ อับบาส อารักชี โพสต์ข้อความบน X (ทวิตเตอร์เดิม) ว่า สหรัฐฯ ในฐานะสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้ละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาห้ามแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) อย่างร้ายแรง การกระทำเช่นนี้ถือเป็นพฤติกรรมที่อุกอาจ ผิดกฎหมาย และอาชญากรรมอย่างยิ่ง พร้อมประกาศว่า อิหร่านขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้ตามหลักการป้องกันตนเองภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ เพื่อปกป้องอธิปไตย ผลประโยชน์ และประชาชนของตน

เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส แสดงความวิตกอย่างยิ่งต่อการใช้กำลังโดยสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน โดยกล่าวว่านี่คือการยกระดับความขัดแย้งในภูมิภาคที่เปราะบางอยู่แล้ว และถือเป็นภัยโดยตรงต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ พร้อมเตือนว่า ความขัดแย้งอาจบานปลายอย่างรวดเร็วและสร้างหายนะต่อพลเรือน ภูมิภาค และโลก กูเตอร์เรสเน้นว่า ไม่มีทางออกทางการทหารสำหรับปัญหานี้ มีเพียงสันติวิธีและการทูตเท่านั้นที่เป็นความหวัง

ผู้นำและตัวแทนจากนานาประเทศต่างแสดงจุดยืนอย่างหลากหลาย โดยนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวว่านโยบายพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงโลก และแม้สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังเปราะบาง แต่ย้ำว่าการรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมเรียกร้องให้อิหร่านกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อหาทางออกโดยสันติ

ขณะที่ คาจา คัลลาส หัวหน้านโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป โพสต์บน X ว่า อิหร่านไม่ควรมีอาวุธนิวเคลียร์ และทุกฝ่ายควรหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้ง พร้อมเผยว่าสหภาพยุโรปจะหารือเรื่องนี้โดยเร็ว

นอกจากนี้ ยังมีเสียงจากกลุ่มฝ่ายค้านในอิหร่านอย่างชัดเจน โดย มารยัม ราจาวี ผู้นำสภาแห่งชาติของการต่อต้านอิหร่าน ออกแถลงการณ์ว่า “คามาเนอีต้องลาออก ประชาชนอิหร่านต้องการสันติภาพและเสรีภาพ” พร้อมประณามโครงการนิวเคลียร์ของผู้นำสูงสุดว่าเป็นโครงการไร้รักชาติที่ทำให้ประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก และสูญเสียงบประมาณไปกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์โดยไร้ประโยชน์

ด้านประเทศในตะวันออกกลาง เช่น กาตาร์ ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อการยกระดับความตึงเครียดจากการโจมตีครั้งนี้ และเตือนว่าความตึงเครียดที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่หายนะทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ

ญี่ปุ่นซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดก็แสดงความกังวลอย่างยิ่ง โดยนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ ย้ำว่า ต้องมีการลดระดับความขัดแย้งโดยเร็ว ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลี อันโตนิโอ ตายานี ระบุว่า หลังการโจมตีที่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อโครงการอาวุธนิวเคลียร์ เราหวังว่าจะเกิดการเจรจาเพื่อยุติปัญหา

ประเทศนอกภูมิภาคต่างก็แสดงความห่วงใยเช่นกัน นิวซีแลนด์เตือนว่าการโจมตีทางทหารจะไม่ช่วยแก้ปัญหา และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายกลับสู่โต๊ะเจรจา ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียออกแถลงการณ์ย้ำว่า โปรแกรมนิวเคลียร์และขีปนาวุธของอิหร่านเป็นภัยคุกคาม แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของทรัมป์ที่ว่า “ถึงเวลาแห่งสันติภาพ” และขอเรียกร้องให้เกิดการลดระดับความตึงเครียดและใช้การทูตเป็นทางออก

ในฝั่งลาตินอเมริกา เม็กซิโกยืนยันจุดยืนเรียกร้องการเจรจาทางการทูตเพื่อสันติภาพตามหลักนโยบายต่างประเทศของประเทศที่ยึดมั่นในความสงบ ขณะที่เวเนซุเอลาและคิวบาออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีของสหรัฐฯ อย่างรุนแรง โดยเวเนซุเอลาระบุว่าสหรัฐฯ กระทำตามคำขอของอิสราเอล และเรียกร้องให้ยุติความรุนแรงทันที ส่วนประธานาธิบดีคิวบา มิเกล ดิอาซกาเนล โพสต์ข้อความระบุว่า การกระทำของสหรัฐฯ เป็นการยกระดับความขัดแย้งที่อันตราย และละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรง