ศึกอิหร่านปะทุ โลกจับตา "พันธมิตร" พร้อมชนสหรัฐฯ-อิสราเอล

22 มิ.ย. 2568 | 03:50 น.
อัปเดตล่าสุด :22 มิ.ย. 2568 | 04:21 น.

ทรัมป์เปิดฉากถล่มนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่ง จุดชนวนแรงปะทะในตะวันออกกลาง โลกจับตาพันธมิตรเตหะราน ขยับพร้อมตอบโต้สหรัฐฯ–อิสราเอล

KEY

POINTS

  • สหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ โจมตีโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่งโดยหนึ่งในนั้นคือโรงงานที่เมืองฟอร์โดว์ ทรัมป์แถลงว่าการปฏิบัติการประสบความสำเร็จ พร้อมประกาศ “ถึงเวลาแห่งสันติภาพ”
  • พันธมิตรของอิหร่านในตะวันออกกลางเริ่มเคลื่อนไหว เช่น กองกำลัง PMF ในอิรัก และฮูตีในเยเมน ซึ่งมีศักยภาพพร้อมตอบโต้หากสถานการณ์ลุกลามเป็นภัยคุกคามต่ออิหร่านในฐานะรัฐชีอะห์เพียงหนึ่งเดียวในภูมิภาค
  • หลายประเทศทั่วโลกจับตาสถานการณ์และแสดงจุดยืน ปากีสถานแสดง “ความเป็นหนึ่งเดียวอย่างไม่หวั่นไหว” ต่ออิหร่าน ขณะที่จีน–รัสเซียประณามการโจมตีของอิสราเอล แต่ยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเข้าแทรกแซงทางทหารในขณะนี้

ตะวันออกกลางส่อเดือดหนักขึ้นอีกขั้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ออกมาเปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้โจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านสำเร็จแล้ว 3 แห่ง พร้อมเรียกร้องให้อิหร่าน “ยุติสงครามในทันที”

เเต่สำนักข่าว Fars อ้างคำพูดของ โมฮัมหมัด มานัน ไรซี สมาชิกรัฐสภาอิหร่าน ซึ่งกล่าวว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่ได้รับความเสียหายจากโรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์นั้น อยู่แค่บนพื้นดินเท่านั้น ซึ่งสามารถซ่อมแซมได้

ไรซีเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของเมืองกอม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองฟอร์โดว์ คำพูดของเขาขัดแย้งกับคำกล่าวของทรัมป์ที่ว่าโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์นั้น ถูกทำลาย จนหมดสิ้นและสิ้นเชิง 

ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนของอิหร่าน เตือนว่า อิกร่าน จะตอบโต้อย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม หากอิสราเอล เดินหน้าโจมตีทางอากาศต่อไปและยืนยันว่าจะไม่ยุติโครงการนิวเคลียร์ หลังจากที่กองทัพอิสราเอลประกาศว่าสังหารผู้บัญชาการกองทัพอิหร่านเพิ่มอีก 3 นาย รวมถึง “ซาอีด อิซาดี” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติ (IRGC) ผู้ประสานงานกับกลุ่มฮามาส ระหว่างการโจมตีถล่มรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อิสราเอลยังคงโจมตีอิหร่านอย่างต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และผู้นำโลกคนอื่น ๆ แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน โดยระหว่างที่พิจารณาการโจมตีของสหรัฐฯ ต่อแหล่งนิวเคลียร์ของอิหร่าน ทรัมป์ได้ขู่ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน โดยอ้างว่ารู้ตำแหน่งของเขาและเรียกเขาว่าเป้าหมายที่ง่ายดายพร้อมทั้งเรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข

ขณะเดียวกัน ประเทศต่าง ๆ เช่น เยอรมนี แคนาดา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ก็ได้เพิ่มระดับการใช้ถ้อยคำแข็งกร้าว เรียกร้องให้อิหร่านยุติโครงการนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง

เมื่อแรงกดดันต่ออิหร่านเพิ่มขึ้น อิหร่านกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวหรือไม่ หรือยังคงมีพันธมิตรที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือ? แกนพันธมิตรของอิหร่านหรือที่เรียกว่า แกนแห่งการต่อต้าน ได้ล่มสลายไปแล้วหรือยัง

อิหร่านพึ่งพาเครือข่ายกลุ่มติดอาวุธ

ซึ่งเป็นพันธมิตรทั่วตะวันออกกลางมาอย่างยาวนานในฐานะส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การยับยั้ง ซึ่งแนวทางนี้ได้ป้องกันไม่ให้อิหร่านถูกโจมตีทางทหารโดยตรงจากสหรัฐฯ หรืออิสราเอล แม้จะเผชิญภัยคุกคามและแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง

“แกนแห่งการต่อต้าน” รวมถึง กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ในเลบานอน กองกำลังระดมพลประชาชน (PMF) ในอิรัก กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน รวมถึง กลุ่มฮามาส ในฉนวนกาซา ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของอิหร่านในระดับที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ อิหร่านยังเคยให้การสนับสนุนรัฐบาลของ บาชาร์ อัล-อัสซาด ในซีเรีย ก่อนที่รัฐบาลดังกล่าวจะถูกโค่นล้มเมื่อปีที่แล้ว

กลุ่มเหล่านี้มีบทบาทเป็นทั้งกันชนในภูมิภาค เป็นกลไกให้อิหร่านแสดงแสนยานุภาพโดยไม่ต้องเข้าร่วมโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อิสราเอลได้โจมตีเครือข่ายเหล่านี้อย่างหนัก

ฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรนอกภาครัฐที่ทรงพลังที่สุดของอิหร่าน ถูกทำให้ไร้ความสามารถอย่างมีประสิทธิภาพ หลังเผชิญการโจมตีของอิสราเอลต่อเนื่องหลายเดือน คลังอาวุธของกลุ่มถูกโจมตีและทำลายอย่างเป็นระบบทั่วเลบานอน และกลุ่มยังประสบความสูญเสียทั้งด้านจิตวิทยาและยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ จากการลอบสังหารผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของกลุ่ม ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์

ในซีเรีย กองกำลังติดอาวุธที่อิหร่านหนุนหลังส่วนใหญ่ถูกขับออกไป หลังจากรัฐบาลอัสซาดล่มสลาย ทำให้อิหร่านสูญเสียฐานที่มั่นสำคัญในภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม อิหร่านยังคงมีอิทธิพลอย่างแข็งแกร่งในอิรักและเยเมน กองกำลัง PMF ในอิรัก ซึ่งมีนักรบราว 200,000 คน ยังคงเป็นกองกำลังที่น่าเกรงขาม ขณะที่กลุ่มฮูตีก็มีนักรบในจำนวนใกล้เคียงกันในเยเมน

หากสถานการณ์ลุกลามจนกลายเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของอิหร่าน ในฐานะรัฐที่นำโดยชีอะห์เพียงแห่งเดียวในภูมิภาค ความเป็นปึกแผ่นทางศาสนาอาจผลักดันให้กลุ่มเหล่านี้เข้าร่วมความขัดแย้งโดยตรง ซึ่งจะขยายสงครามออกไปทั่วภูมิภาคอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น PMF อาจเปิดฉากโจมตีทหารสหรัฐฯ กว่า 2,500 นายที่ประจำการอยู่ในอิรัก โดยหัวหน้ากลุ่มกะตาอิบฮิซบอลเลาะห์ หนึ่งในฝ่ายแข็งกร้าวของ PMF ได้ให้คำมั่นว่า

หากอเมริกากล้าแทรกแซงในสงคราม เราจะโจมตีผลประโยชน์และฐานทัพของสหรัฐฯ ที่กระจายอยู่ทั่วภูมิภาคโดยไม่ลังเล

อิหร่านเองก็อาจโจมตีฐานทัพสหรัฐฯ ในประเทศแถบอ่าวเปอร์เซียด้วยขีปนาวุธ รวมทั้งปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำที่น้ำมันราว 20% ของทั้งโลกไหลผ่าน

พันธมิตรระดับภูมิภาคและระดับโลกของอิหร่านจะเข้ามามีบทบาทหรือไม่

มหาอำนาจในภูมิภาคบางแห่งยังคงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอิหร่าน โดยที่โดดเด่นที่สุดคือ ปากีสถาน ประเทศอิสลามเพียงแห่งเดียวที่มีอาวุธนิวเคลียร์

หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี พยายามสร้างความร่วมมือกับปากีสถานมากขึ้น เพื่อรับมือกับปฏิบัติการของอิสราเอลในกาซา

สัญญาณที่สะท้อนถึงความสำคัญของปากีสถานในสงครามอิสราเอล-อิหร่าน ทรัมป์ได้พบกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดของปากีสถานที่กรุงวอชิงตัน ระหว่างที่เขากำลังชั่งใจถึงความเป็นไปได้ในการโจมตีอิหร่าน

ผู้นำปากีสถานก็แสดงจุดยืนชัดเจนเช่นกัน นายกรัฐมนตรีเชห์บาซ ชารีฟ ได้แสดง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อประธานาธิบดีของอิหร่าน ต่อการรุกรานอย่างไม่มีเหตุผลของอิสราเอล

ขณะที่ รัฐมนตรีกลาโหมของปากีสถาน คาวาจา อาซิฟ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า อิสราเอลจะต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนจะเผชิญหน้ากับปากีสถาน ถ้อยแถลงเหล่านี้แสดงจุดยืนที่แข็งกร้าว แม้ยังไม่ถึงขั้นให้คำมั่นว่าจะเข้าแทรกแซงโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ปากีสถานก็พยายามลดความตึงเครียด โดยเรียกร้องให้ประเทศมุสลิมอื่น ๆ รวมถึงพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์อย่างจีน เข้ามาไกล่เกลี่ยทางการทูตก่อนที่ความรุนแรงจะลุกลามกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อิหร่านยังได้ดำเนินความพยายามทางการทูตกับอดีตคู่แข่งในภูมิภาค เช่น ซาอุดีอาระเบียและอียิปต์ เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ช่วยเสริมแรงสนับสนุนในวงกว้างมากขึ้น

มีประเทศมุสลิมเกือบ 20 ประเทศ  รวมถึงบางประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล ร่วมกันประณามการกระทำของอิสราเอลและเรียกร้องให้ลดความรุนแรง

อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญยังมีมุมมองว่า เป็นไปได้ยากที่มหาอำนาจในภูมิภาคอย่างซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตุรกี จะให้การสนับสนุนด้านวัตถุหรือยุทโธปกรณ์แก่อิหร่าน เนื่องจากพันธมิตรอันแน่นแฟ้นกับสหรัฐฯ

พันธมิตรระดับโลกที่สำคัญของอิหร่านอย่างรัสเซียและจีน ต่างก็ประณามการโจมตีของอิสราเอล และเคยใช้สิทธิยับยั้งมติเพื่อลงโทษเตหะรานในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองประเทศยังไม่แสดงท่าทีว่าเต็มใจจะยกระดับความขัดแย้งด้วยการให้การสนับสนุนทางทหารโดยตรงแก่เตหะราน หรือเผชิญหน้ากับอิสราเอลและสหรัฐฯ ในขณะนี้

ทั้งนี้ ทฤษฎีระบุว่าท่าทีอาจเปลี่ยนแปลง หากความขัดแย้งลุกลาม และสหรัฐฯ เดินหน้าเป้าหมายโค่นล้มระบอบการปกครองของอิหร่านอย่างเปิดเผย

ทั้งรัสเซียและจีนมีผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์และความมั่นคงอย่างมากในเสถียรภาพของอิหร่าน เนื่องจากนโยบาย “มองตะวันออก” ของอิหร่านที่ดำเนินมานาน และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อภูมิภาคและเศรษฐกิจโลกหากอิหร่านไร้เสถียรภาพ

อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนปัจจุบัน นักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่า ทั้งสองประเทศยังไม่น่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง

มอสโก ก็เคยอยู่เฉย ๆ เมื่อตัวแทนของตนอย่างรัฐบาลอัสซาดในซีเรียล่มสลาย อีกทั้งยังต้องมุ่งเน้นต่อสงครามในยูเครน และไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ที่กำลังดีขึ้นกับรัฐบาลทรัมป์

จีน ได้แสดงการสนับสนุนอิหร่านในระดับถ้อยแถลงอย่างชัดเจน แต่ประวัติศาสตร์ชี้ว่า จีนไม่ค่อยแสดงความสนใจในการเข้าไปมีบทบาทโดยตรงในความขัดแย้งในตะวันออกกลาง