KEY
POINTS
ตั้งแต่อิสราเอลเริ่มโจมตีอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 ราย รวมถึงนายพลและนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง อิสราเอลระบุว่าการกระทำของตนคือ การโจมตีเชิงป้องกันล่วงหน้า เพื่อขัดขวางศัตรูเก่าแก่ไม่ให้สร้างระเบิดนิวเคลียร์ โดยกล่าวหาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอิหร่านต้องการอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนการยิงกันมาเป็นวันที่หก ความสนใจจึงหันไปที่โรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์ซึ่งถูกฝังลึกอยู่ใต้ภูเขาในอิหร่าน
มีรายงานว่า มีเพียงอาวุธเดียวเท่านั้นที่มีความสามารถทำลายเป้าหมายนี้ได้ ระเบิด GBU-57 Massive Ordnance Penetrator ของสหรัฐฯ ซึ่งรู้จักกันในชื่อระเบิดเจาะบังเกอร์
ตามชื่อของมัน GBU-57 ได้รับการออกแบบมาเพื่อโจมตีเป้าหมายที่แข็งแกร่งและฝังลึก เช่น บังเกอร์และอุโมงค์ กองทัพอากาศสหรัฐฯ ระบุว่า อาวุธซึ่งมีระบบนำวิถีด้วย GPS นี้สามารถเจาะลึกลงไปได้ประมาณ 61 เมตรใต้ดินก่อนจะระเบิด
มันมีความยาวประมาณ 6.2 เมตร และหนักประมาณ 13,600 กิโลกรัม หัวรบของระเบิดมีวัตถุระเบิดอยู่ประมาณ 2,400 กิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วยระเบิดชนิด AFX-757 และ PBXN-114 ตามข้อมูลจากเว็บไซต์วิเคราะห์ด้านการป้องกันประเทศ The War Zone
ตัวเคสของหัวรบผลิตจากโลหะผสมเหล็กประสิทธิภาพสูงแบบพิเศษ และการออกแบบช่วยให้บรรทุกวัตถุระเบิดจำนวนมากได้โดยยังคงความแข็งแรง ปัจจุบันมีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่ครอบครองระเบิด GBU-57
เครื่องบิน B-2 Spirit เป็นเครื่องบินลำเดียวที่ถูกตั้งโปรแกรมให้สามารถบรรทุกระเบิดเจาะบังเกอร์นี้ ผลิตโดยบริษัท Northrop Grumman ของสหรัฐฯ และมีเพียงกองทัพอากาศสหรัฐฯ เท่านั้นที่ใช้เครื่องบินลำนี้
เครื่องบินลำดังกล่าวสามารถบรรทุกระเบิดนี้ได้สองลูก โดยวางไว้คนละด้านในห้องบรรทุก กองทัพสหรัฐฯ อธิบายว่า B-2 Spirit เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบหลายบทบาทที่สามารถใช้บรรทุกอาวุธทั้งแบบทั่วไปและนิวเคลียร์
มันมีคุณสมบัติที่ช่วยให้สามารถเจาะผ่านระบบป้องกันขั้นสูงและโจมตีเป้าหมายที่มีการป้องกันอย่างหนาแน่นได้โดยที่ศัตรูไม่สามารถตรวจจับได้
ระเบิดนี้เคยถูกใช้มาก่อนหรือไม่
ไม่มีรายงานว่าระเบิดนี้เคยถูกนำไปใช้จริงในการรบ สหรัฐฯ เริ่มพัฒนาอาวุธนี้ในช่วงทศวรรษ 2000 โดยโบอิ้งได้รับสัญญาพัฒนาโครงการ Massive Ordnance Penetrator ในปี 2004
ตั้งแต่นั้นมา การใช้งาน GBU-57 ที่เป็นที่รู้จักทั้งหมดคือเพื่อการทดสอบหรือฝึกฝน มีการทดลองทิ้งระเบิดในปี 2014, 2015 และ 2016 ตามข้อมูลจากนิตยสาร Air and Space Forces Magazine ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ด้านอวกาศและการป้องกันประเทศ
ในปี 2017 เครื่องบิน B-2 หลายลำได้ทำการทิ้งระเบิดทดลอง 4 ครั้งที่ฐานทดสอบขีปนาวุธไวต์แซนด์ ซึ่งเป็นฐานทัพทหารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
เพื่อเปรียบเทียบ ระเบิด GBU-43/B Massive Ordnance Air Blast Bomb ของสหรัฐฯ มีความยาวประมาณ 9 เมตร และน้ำหนักประมาณ 9,800 กิโลกรัม
GBU-57 เป็นระเบิดเจาะบังเกอร์ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่ยังไม่เคยถูกใช้จริงในการรบ
ส่วน GBU-43/B หรือ MOAB ซึ่งเคยถูกขนานนามว่า “แม่ของระเบิดทั้งหมด” เป็นระเบิดอากาศที่ใช้ถล่มกลุ่ม IS ในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2017 ทั้งสองรุ่นนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ระเบิดลูกนี้บรรจุวัตถุระเบิดเกือบ 8,500 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่า GBU-57 อย่างมาก ระเบิดเจาะบังเกอร์อื่น ๆ ในคลังแสงของสหรัฐฯ ได้แก่ GBU-28 และ BLU-109 GBU-28 เป็นอาวุธนำวิถีด้วยเลเซอร์ หนักเกือบ 2,300 กิโลกรัม สามารถเจาะคอนกรีตได้ถึง 6 เมตร ส่วน BLU-109 หนักประมาณ 900 กิโลกรัม และเช่นเดียวกับ GBU-57 เป็นอาวุธเจาะเป้าหมายที่ใช้กับบังเกอร์และโรงเก็บเครื่องบิน
มันสามารถเจาะทะลุคอนกรีตเสริมเหล็กได้ราว 1.2–1.8 เมตร และบรรจุวัตถุระเบิดประมาณ 240 กิโลกรัม ตามรายงานของ TWZ ระเบิดสองรุ่นหลังนี้เคยถูกนำไปใช้จริงในการรบ
GBU-28 เคยถูกใช้เพื่อทำลายบังเกอร์บัญชาการหลักของอิรักในสงครามอ่าวเปอร์เซียปี 1991 ในขณะที่สหรัฐฯ เคยมอบระเบิด BLU-109 จำนวน 100 ลูกให้กับอิสราเอล ซึ่งเชื่อว่าได้ถูกนำไปใช้ในปฏิบัติการโจมตีที่สังหารหัวหน้ากลุ่มฮิซบุลเลาะห์ ฮัสซัน นัสรัลลอฮ์
รัสเซียเองก็มีระเบิดเจาะบังเกอร์ของตนเช่นกัน คือ FAB-1500 หนัก 1,500 กิโลกรัม ระเบิดนี้ก็เป็นแบบนำวิถีเช่นกัน แต่สามารถเจาะลึกได้เพียง 20 เมตรเท่านั้น
เหตุใด GBU-57 จึงเป็นอาวุธเดียวที่สามารถทำลายฟอร์โดว์ได้
ศูนย์ฟอร์โดว์ตั้งอยู่ลึกจากยอดเขาลงไปประมาณ 80–90 เมตร ซึ่งทำให้มีความสามารถในการป้องกันเชิงยุทธศาสตร์จากการโจมตีทั่วไป และจากทุกสิ่งในคลังแสงของอิสราเอล ตามที่ ดาเมียน ตัน ผู้ช่วยวิจัยจากสถาบันตะวันออกกลาง มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) กล่าวกับ CNA
GBU-57 เป็นอาวุธทั่วไปเพียงชนิดเดียวที่มีโอกาสสร้างความเสียหายต่อฟอร์โดว์
และสิ่งนี้สามารถถูกส่งถึงเป้าหมายได้โดยสหรัฐฯ เท่านั้น ผ่านเครื่องบิน B-2 Spirit ในทางทฤษฎี อิสราเอลอาจวางระเบิด GBU-57 บนเครื่องบินขนส่ง C-130 Hercules ของตนได้ แต่เครื่องบินรุ่นนี้บินช้า บินที่ระดับความสูงต่ำ และไม่มีระบบเล็งเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นทางเลือกที่ “ไม่สอดคล้องเชิงยุทธศาสตร์” นายตันกล่าว
เหตุใดฟอร์โดว์จึงมีความสำคัญ
ไซต์ฟอร์โดว์ตั้งอยู่ในเมืองกอม ห่างจากกรุงเตหะรานไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 95 กิโลเมตร
การมีอยู่ของโรงงานเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิงฟอร์โดว์ถูกเปิดเผยครั้งแรกในปี 2009 ขณะนั้นประธานาธิบดีบารัก โอบามาของสหรัฐฯ ระบุว่าขนาดและโครงสร้างของสถานที่นี้ “ไม่สอดคล้อง” กับคำกล่าวที่ว่ามีไว้เพื่อโครงการพลังงานนิวเคลียร์พลเรือนเพื่อสันติ
ความหวาดกลัวว่าอิหร่านจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในที่สุดได้นำไปสู่การลงนามในแผนปฏิบัติการร่วมแบบเบ็ดเสร็จ (JCPOA) ในปี 2015 ภายใต้ข้อตกลงนี้ อิหร่านต้องรื้อเครื่องปั่นแยกยูเรเนียมออกสองในสามจากโรงงานนี้ พร้อมกับนำวัสดุนิวเคลียร์ทั้งหมดออกไป นอกจากนี้ยังห้ามดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับนิวเคลียร์ในไซต์นี้
แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงในปี 2018 หลังจากนั้นอิหร่านได้เริ่มโครงการอีกครั้ง และเริ่มผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะระดับ 60%
ในปี 2023 สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ได้เก็บตัวอย่างจากฟอร์โดว์ และพบยูเรเนียมที่มีการเสริมสมรรถนะถึง 83.7% ซึ่งใกล้เคียงระดับที่ใช้ในอาวุธ
ไซต์เสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ใต้ดินอีกแห่งหนึ่งที่ทราบคือโรงงานนาทานซ์นอกกรุงเตหะราน นาทานซ์ฝังลึกประมาณ 8 เมตรใต้ดิน และเคยถูกอิสราเอลโจมตีทางอากาศแล้ว
นายตันจาก NUS กล่าวว่า ถ้าฟอร์โดว์ไม่ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง การดำเนินงานที่นั่นอาจกลับมาได้ภายในไม่กี่เดือน ซึ่งจะทำให้อิหร่านกลับสู่เส้นทางการสร้างระเบิดในเวลาอันสั้น หากตัดสินใจเลือกทางนั้น – ซึ่งมีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากการยับยั้งแบบเดิม ๆ ล้มเหลว (จนถึงขณะนี้)”
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากที่เปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว อิหร่านอาจยังมีไซต์ลับอื่น ๆ สำหรับเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิง ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาความสามารถด้านนิวเคลียร์ต่อไปได้
แม้การโจมตีฟอร์โดว์อาจทำให้ความก้าวหน้าด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านล่าช้า แต่มันจะไม่สามารถขจัดภัยคุกคามที่แท้จริงได้ นายตันกล่าว
“นี่คือเหตุผลที่บางคนกล่าวหาว่าอิสราเอลต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองควบคู่ไปกับการโจมตีฟอร์โดว์ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการยกระดับความขัดแยงไปอีกขั้น” เขาเสริม
ความท้าทายในการโจมตีฟอร์โดว์คืออะไร
เนื่องจากฟอร์โดว์ฝังลึกมาก การโจมตีเพียงครั้งเดียวจะไม่สามารถทำลายโรงงานได้ นายตันกล่าว
หากสหรัฐฯ ตัดสินใจเข้าร่วมสงคราม จะต้องใช้ระเบิด GBU-57 หลายลูก ทิ้งเป็นระลอก เพื่อให้แน่ใจว่าฟอร์โดว์จะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
บทความวิเคราะห์ของสถาบัน Royal United Services Institute แห่งสหราชอาณาจักร นักวิจัยอาวุโส ดาร์ยา ดอลซีโควา และศาสตราจารย์จัสติน บรองค์ ได้เน้นย้ำถึงการมีอยู่ของระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบหลายชั้นรอบ ๆ สถานที่ดังกล่าว
อิหร่านมีระบบป้องกันภัยทางอากาศหลากหลาย รวมถึงระบบขีปนาวุธพื้นสู่อากาศอย่าง S-300PMU-2 ระยะไกลของรัสเซีย, Khordad 15 ระยะกลาง และ Tor M-1 ระยะสั้นของรัสเซีย
การที่ระบบเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้เป้าหมายสำคัญหลายแห่งในอิหร่าน หมายความว่าอาวุธบางชนิดอาจยังถูกสกัดได้ โดยเฉพาะระเบิดแบบตกลงตามแรงโน้มถ่วง ดอลซีโควาและบรองค์เขียนไว้ พวกเขาอ้างถึงกรณีที่ Tor M-1 ยิงสกัดอาวุธนำวิถีอย่างแม่นยำในความขัดแย้งที่ยูเครนมาแล้วหลายครั้ง
ความท้าทายเชิงปฏิบัติในการโจมตีสถานที่อย่างฟอร์โดว์ ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาวิธีทางทหารเพียงอย่างเดียวในการแก้ปัญหาภัยคุกคามนิวเคลียร์ของอิหร่าน ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองเขียนไว้
หลังจากการโจมตีทางทหารต่อไซต์นิวเคลียร์ใด ๆ อิหร่านไม่เพียงแต่มีความรู้ภายในประเทศที่จำเป็นเท่านั้น แต่ยังจะมีแรงจูงใจมากขึ้นในการสร้างใหม่ และสร้างให้ลึกกว่าเดิมและแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังระบุถึง คุณค่าของการข่มขู่ทางทหารที่น่าเชื่อถือในฐานะส่วนหนึ่งของความพยายามในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอิหร่านตัดสินใจเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ หรือเริ่มเสริมสมรรถนะยูเรเนียมถึง 90%
การแสดงความชัดเจนถึงความตั้งใจที่จะดำเนินการโจมตีในลักษณะเช่นนี้ แต่ใช้เฉพาะในกรณีสุดท้ายเท่านั้น อาจช่วยสร้างแรงกดดันเพียงพอให้เตหะรานให้ความร่วมมือกับความคาดหวังในการไม่ข้ามเส้นบางเส้น หรือถอยกลับจากพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงอย่างรุนแรง