ขีปนาวุธถล่มเดือดเข้าสู่วันที่ 6 ทรัมป์ลั่นอิหร่านต้องยอมจำนน

อิหร่านและอิสราเอลได้ยิงขีปนาวุธเข้าใส่กันอีกครั้งในวันพุธ (18 มิ.ย.) ขณะที่สงครามทางอากาศดำเนินมาถึงวันที่ 6  แม้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข

กองทัพอิสราเอลระบุว่า อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธเข้าใส่อิสราเอลสองระลอกในช่วงสองชั่วโมงแรกของเช้าวันพุธ เสียงระเบิดดังขึ้นเหนือกรุงเทลอาวีฟ อิสราเอลได้แจ้งให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเตหะรานอพยพ เพื่อให้กองทัพอากาศสามารถโจมตีฐานทัพของกองทัพอิหร่านได้

เว็บไซต์ข่าวของอิหร่านรายงานว่า มีเสียงระเบิดดังในกรุงเตหะรานและเมืองคาราจทางตะวันตกของเมืองหลวง

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เตือนผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าสหรัฐฯ กำลังหมดความอดทน ขณะที่ระบุว่าไม่มีเจตนาจะสังหารผู้นำอิหร่านในตอนนี้ ข้อความของเขาก็แสดงท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นต่ออิหร่าน ขณะที่กำลังพิจารณาว่าจะเพิ่มบทบาทของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งนี้หรือไม่ เขาเขียนบน Truth Social โดยอ้างถึงอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี

เรารู้แน่ว่าผู้นำสูงสุดซ่อนอยู่ที่ไหน เราจะไม่จัดการเขา อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ ความอดทนของเรากำลังหมดลง

สามนาทีต่อมา ทรัมป์โพสต์ว่า “UNCONDITIONAL SURRENDER!” (ยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข)

เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์ได้โทรศัพท์พูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา 

ยังไม่มีสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ความขัดแย้งนี้

ผู้นำอังกฤษ เซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวในการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ G7 ที่แคนาดา ซึ่งทรัมป์ได้ออกมาก่อนกำหนด ระบุว่า ไม่มีสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ความขัดแย้งนี้โดยตรง

ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ทรัมป์ประชุมกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเป็นเวลา 90 นาทีในช่วงบ่ายวันอังคารที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับความขัดแย้ง แต่ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมในทันที

ด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า สหรัฐฯ กำลังส่งเครื่องบินรบเพิ่มเติมไปยังตะวันออกกลาง และขยายระยะเวลาประจำการของฝูงบินอื่น ๆ เเต่จนถึงขณะนี้ สหรัฐฯ มีบทบาทเพียงในการป้องกันในความขัดแย้งกับอิหร่าน เช่น การช่วยสกัดขีปนาวุธที่ถูกยิงเข้าใส่อิสราเอล

อิทธิพลในภูมิภาคลดลง

ที่ปรึกษาทางทหารและความมั่นคงหลักของอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ถูกสังหารจากการโจมตีของอิสราเอล ส่งผลให้บรรดาที่ปรึกษาภายในอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์ 

ด้วยความเสียหายด้านความมั่นคงที่ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามในปี 1979 ผู้นำอิหร่านจึงสั่งการให้หน่วยบัญชาการไซเบอร์ห้ามเจ้าหน้าที่ใช้เครื่องมือสื่อสารและโทรศัพท์มือถือ ตามรายงานของสำนักข่าวฟาร์ส

ขณะที่สื่ออิหร่านรายงานว่า อิสราเอลได้เปิดสงครามไซเบอร์ครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของอิหร่าน

นับตั้งแต่กลุ่มฮามาสที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 และจุดชนวนให้เกิดสงครามในฉนวนกาซา อิทธิพลในภูมิภาคของคาเมเนอีก็ลดลง ขณะที่อิสราเอลเดินหน้าถล่มกลุ่มตัวแทนอิหร่าน ตั้งแต่ฮามาสในกาซา ไปจนถึงเฮซบอลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่มฮูตีในเยเมน และกองกำลังติดอาวุธในอิรัก บาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีเผด็จการของซีเรีย ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของอิหร่าน ก็ถูกโค่นล้ม

จนกระทั่งอิสราเอลเริ่มปฏิบัติการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดต่ออิหร่านเมื่อวันศุกร์ (13 มิ.ย.) หลังจากประกาศว่าได้ข้อสรุปว่าอิหร่านกำลังใกล้จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

อิหร่านปฏิเสธว่ามีเป้าหมายในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ และยืนยันสิทธิ์การใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อวัตถุประสงค์สันติ รวมถึงการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ภายใต้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (NPT) ที่อิหร่านเป็นภาคี

ในทางกลับกัน อิสราเอลซึ่งไม่ใช่ภาคีของ NPT เป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่เชื่อกันว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็ไม่เคยยืนยันหรือปฏิเสธเรื่องนี้ เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล เน้นย้ำว่าจะไม่ถอยจนกว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านจะถูกทำให้หยุดลง ขณะที่ทรัมป์กล่าวว่าการโจมตีของอิสราเอลอาจสิ้นสุด หากอิหร่านยอมรับข้อจำกัดอย่างเข้มงวดต่อการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม

ก่อนที่การโจมตีของอิสราเอลจะเริ่มขึ้น

คณะกรรมการผู้ว่าการของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งเสริมการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ ซึ่งมี 35 ประเทศสมาชิก ได้ประกาศว่าอิหร่านละเมิดพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปี

IAEA ระบุ ว่าการโจมตีของอิสราเอลได้โจมตีโดยตรงใส่ห้องเสริมสมรรถนะใต้ดินในโรงงานนาทานซ์

ขณะเดียวกัน อิสราเอลระบุว่า ขณะนี้ตนควบคุมอากาศยานเหนืออิหร่านได้แล้ว และมีแผนจะยกระดับปฏิบัติการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อิสราเอลอาจประสบปัญหาในการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ที่ฝังลึก เช่น โรงงานฟอร์โดวซึ่งอยู่ใต้ภูเขา หากไม่มีสหรัฐฯ เข้าร่วมในการโจมตีครั้งนี้

ทางการอิหร่านรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 224 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน ขณะที่อิสราเอลระบุว่ามีพลเรือนเสียชีวิต 24 ราย ประชาชนของทั้งสองประเทศต่างอพยพหนีภัยสงคราม

ขณะที่ ตลาดน้ำมันโลกอยู่ในภาวะเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น หลังจากมีการโจมตีจุดยุทธศาสตร์ รวมถึงแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สุดของโลก “พาร์สใต้” ซึ่งอิหร่านและกาตาร์ ถือครองร่วมกัน