ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนซึ่งจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ได้กลายเป็นเวทีสำคัญที่ผู้นำในภูมิภาคใช้เพื่อแสดงจุดยืนและเร่งหาทางออกต่อปัญหาวิกฤติในเมียนมา และการรับมือกับความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภัยคุกคามทางภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ที่กำลังเขย่าความเชื่อมั่นของตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปีนี้ กล่าวเปิดการประชุมด้วยการย้ำถึง “ความคืบหน้าที่มีนัยสำคัญ” ในความพยายามเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายขัดแย้งในเมียนมา แม้จะยอมรับว่ายังเป็น “สะพานเปราะบาง” ที่ต้องอาศัยความอดทนและการเจรจาอย่างเงียบๆ เพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันในระยะยาว
เมียนมาตกอยู่ในภาวะวิกฤตมาตั้งแต่ปี 2021 หลังจากกองทัพยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของอองซาน ซูจี ซึ่งจุดชนวนให้เกิดการประท้วงของประชาชนที่ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งรุนแรงทั่วประเทศ และทำให้ประชาชนมากกว่า 3.5 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น ตามรายงานของสหประชาชาติ
อันวาร์เปิดเผยว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา เขาได้จัดประชุมลับกับ พล.อ. มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ที่กรุงเทพฯ พร้อมกับการประชุมออนไลน์กับรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านทหาร โดยย้ำว่าแม้ความคืบหน้าจะยังเปราะบาง แต่ “ยังดีกว่าปล่อยให้ช่องว่างระหว่างกันขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ”
ผู้นำอาเซียนยังคาดว่าจะหารือแนวทางการฟื้นฟูแผนสันติภาพของอาเซียนที่หยุดชะงักไป และหาทางเสริมความต่อเนื่องในการประสานงาน โดยหนึ่งในข้อเสนอสำคัญคือการแต่งตั้งทูตพิเศษอาเซียนด้านเมียนมาถาวร เพื่อปฏิบัติหน้าที่ระยะยาว 3 ปี แทนระบบหมุนเวียนรายปีเช่นที่ผ่านมา ซึ่งมักทำให้กระบวนการต่อเนื่องสะดุดกลางคัน
รัฐมนตรีต่างประเทศของมาเลเซีย โมฮัมหมัด ฮาซาน ย้ำว่า การเจรจายังต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก และเขาเตรียมเดินทางเยือนเมียนมาในเดือนหน้า เพื่อผลักดันกระบวนการเจรจาต่อหน้าอย่างใกล้ชิดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทหารเมียนมายังคงเดินหน้าแผนจัดการเลือกตั้งในปลายปีนี้ แม้จะถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการเลือกตั้งลวงตา เพื่อยืดอำนาจกองทัพผ่านกลไกตัวแทน อีกทั้งอาเซียนยังไม่มีท่าทีชัดเจนร่วมกันต่อท่าทีของการเลือกตั้งดังกล่าว
ในอีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กัน ผู้นำอาเซียนต่างจับตามองผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจรุนแรงขึ้น จากนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะแผนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจาก 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยอัตราระหว่าง 32% ถึง 49% ซึ่งจะมีผลในเดือนกรกฎาคม หากการเจรจาเพื่อลดหย่อนไม่ประสบผลสำเร็จ
อันวาร์เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อขอหารือโดยตรงถึงผลกระทบของภาษีที่มีต่ออาเซียน ซึ่งมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมกว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการประสานจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิก เพื่อไม่ให้แต่ละประเทศต้องรับผลกระทบโดดเดี่ยว
ด้านประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ ระบุว่า ผู้นำอาเซียนจำเป็นต้องเปรียบเทียบนโยบายตอบโต้ทางภาษีของแต่ละประเทศ และหาฉันทามติร่วมกันให้ได้ เพื่อไม่ให้ความหลากหลายของบริบทภายในกลุ่มกลายเป็นอุปสรรคในการเจรจาระดับนานาชาติ
มาร์ตี้ นาตาเลกาวา อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เสริมว่า อาเซียนควรเร่งกำหนดกรอบการเจรจาที่ชัดเจนร่วมกัน มิฉะนั้นภูมิภาคนี้อาจเผชิญ “วงจรแพ้-แพ้” ในด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังจะหยิบยกประเด็นการเจรจาเพื่อจัดทำ “แนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้” ร่วมกับจีน ซึ่งยืดเยื้อมาหลายปี โดยเฉพาะกรณีพิพาทที่ทวีความร้อนแรงระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ ซึ่งล่าสุด มาร์กอสเรียกร้องให้อาเซียนเร่งบรรลุข้อตกลงตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยเร็ว เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค