การเผชิญหน้าระหว่างอินเดียและปากีสถานกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง หลังเกิดเหตุโจมตีด้วยขีปนาวุธจากอินเดียใส่หลายพื้นที่ในปากีสถานและเขตปากีสถานแคชเมียร์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 ราย รวมถึงเด็กวัย 3 ขวบ อินเดียอ้างว่าเป็น “ปฏิบัติการสินธุร์” ที่มีเป้าหมายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของผู้ก่อการร้ายถึง 9 จุด ขณะที่ปากีสถานตอบโต้ว่าได้ยิงเครื่องบินรบของอินเดียตกไป 5 ลำ ซึ่งอินเดียยังไม่ออกมาแสดงความเห็นในประเด็นนี้อย่างเป็นทางการ
เหตุปะทะที่เกิดขึ้นสะท้อนความตึงเครียดที่เรื้อรังระหว่างสองประเทศนับตั้งแต่การแบ่งแยกดินแดนโดยอังกฤษในปี 1947 ซึ่งนำไปสู่การอพยพครั้งใหญ่และนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พื้นที่แคชเมียร์ซึ่งมีประชากรมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ยังคงเป็นจุดขัดแย้งหลัก โดยอินเดียและปากีสถานต่างอ้างสิทธิ์ครอบครองทั้งพื้นที่ แม้ในความเป็นจริงจะถูกแบ่งการปกครองออกเป็นสามส่วนโดยอินเดีย ปากีสถาน และจีน
จากอดีตสู่ปัจจุบัน อินเดียและปากีสถานเคยทำสงครามกันถึง 4 ครั้ง โดยสองครั้งเกิดขึ้นจากข้อพิพาทในแคชเมียร์ และมีเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนหรือ “เส้นควบคุม” (Line of Control) เป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2019 ที่ทหารอินเดียถูกลอบวางระเบิดจนเสียชีวิตกว่า 40 นาย นำไปสู่การโจมตีทางอากาศของอินเดียในเมืองบาลาโกต์ของปากีสถาน
ในมุมของขีดความสามารถทางทหาร ข้อมูลจาก Global Firepower ปี 2025 ระบุว่า อินเดียเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งอันดับ 4 ของโลก ขณะที่ปากีสถานอยู่ในอันดับที่ 12 งบประมาณด้านกลาโหมของอินเดียในปี 2024 อยู่ที่ 86,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.3% ของ GDP ซึ่งมากกว่าปากีสถานถึงเกือบ 8 เท่า ที่ใช้งบประมาณ 10,200 ล้านดอลลาร์ หรือ 2.7% ของ GDP
ในแง่จำนวนกำลังพล อินเดียมีทหารรวมทั้งสิ้นกว่า 5.1 ล้านนาย ซึ่งรวมถึงกำลังพลประจำการกว่า 1.4 ล้านนาย ขณะที่ปากีสถานมีกำลังพลประมาณ 1.7 ล้านนาย โดยมีทหารประจำการประมาณ 700,000 นาย อินเดียยังเหนือกว่าด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งในด้านจำนวนรถถัง (อินเดีย 4,201 คัน ปากีสถาน 2,627 คัน) เครื่องบินรบ (อินเดีย 2,229 ลำ ปากีสถาน 1,399 ลำ) และเรือรบ (อินเดีย 293 ลำ ปากีสถาน 121 ลำ)
แต่สิ่งที่ทำให้การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองชาตินี้อันตรายอย่างยิ่ง คือ การที่ทั้งคู่เป็นประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ โดยข้อมูลจาก Arms Control Association ระบุว่า อินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 172 หัว ขณะที่ปากีสถานมีประมาณ 170 หัว ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกันอย่างมาก
อินเดียเริ่มทดลองนิวเคลียร์ครั้งแรกในปี 1974 และต่อยอดจนประกาศตัวเป็นประเทศนิวเคลียร์ในปี 1998 ขณะที่ปากีสถานตอบโต้ด้วยการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ภายในเดือนเดียวกัน ทั้งสองชาติจึงเข้าสู่การแข่งขันสะสมขีปนาวุธและหัวรบ ซึ่งกินงบประมาณมหาศาล ในปี 2023 อินเดียใช้จ่ายด้านนิวเคลียร์ 2.7 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ปากีสถานใช้งบประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์
ขีดความสามารถของขีปนาวุธก็แตกต่างกันไป อินเดียมีขีปนาวุธพิสัยไกลและระบบยิงจากเรือหรือเรือดำน้ำร่วมพัฒนากับรัสเซีย ส่วนปากีสถานมุ่งพัฒนาขีปนาวุธพิสัยใกล้ถึงกลางที่สามารถโจมตีเป้าหมายในอินเดียได้ทั้งหมด โดยมีจีนเป็นพันธมิตรสำคัญในการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ในด้านการจัดหาอาวุธ ข้อมูลจาก SIPRI ระบุว่า อินเดียเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกในช่วงปี 2020–2024 โดยนำเข้าจากรัสเซียเป็นหลัก แต่เริ่มหันไปหาฝรั่งเศส อิสราเอล และสหรัฐฯ มากขึ้น ด้านปากีสถานเพิ่มการนำเข้าอาวุธขึ้น 61% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยจีนเป็นผู้ส่งออกหลักถึง 81% ของอาวุธทั้งหมดที่ปากีสถานนำเข้า
แม้อินเดียจะมีทรัพยากรและอำนาจทางทหารเหนือกว่าอย่างชัดเจน แต่นักวิเคราะห์หลายคนเห็นตรงกันว่า ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถทนต่อสงครามที่ยืดเยื้อได้ “แม้ทั้งสองประเทศจะสามารถรับมือกับความขัดแย้งระยะสั้นได้ แต่หากยืดเยื้อเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อขีดความสามารถของทั้งสองฝ่าย” คริสโตเฟอร์ แคลรีย์ นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออลบานีกล่าว พร้อมเสริมว่า การเผชิญหน้าครั้งนี้มีลักษณะเป็น “การแสดงพลังทางการเมือง” มากกว่าจะเป็นสงครามเต็มรูปแบบ
แม้กองทัพอินเดียจะใหญ่กว่าปากีสถานเกือบเท่าตัว และมีงบประมาณที่สามารถรองรับความขัดแย้งได้มากกว่า แต่การเผชิญหน้ากับปากีสถานก็เสี่ยงต่อการเปิดแนวรบที่สองกับจีน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคู่แข่งสำคัญของอินเดียเช่นกัน