แม้จะมีการประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการหลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในเมียนมาเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ภาคสนามกลับชี้ไปในทางตรงกันข้าม ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์สเปิดเผยข้อมูลวิเคราะห์ว่า ความถี่ของการโจมตีทางอากาศและการยิงปืนใหญ่โดยกองทัพเมียนมากลับเพิ่มขึ้นหลังการประกาศหยุดยิงเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงหกเดือนก่อนหน้านั้น
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เมียนมาต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวขนาด 7.7 แมกนิจูดที่สร้างความเสียหายอย่างหนักในพื้นที่ตอนกลางของประเทศ สะพาน ถนน โรงเรียน เจดีย์ และอาคารนับพันหลังพังทลาย โดยตัวเลขจากกองทัพเมียนมาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3,763 คน บาดเจ็บมากกว่า 5,100 คน และยังมีผู้สูญหายอีก 110 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 เมษายน)
ภายใต้สถานการณ์ภัยพิบัตินี้ กองทัพเมียนมาในนามของสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ได้ประกาศหยุดยิง 20 วันเพื่ออำนวยความสะดวกในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่มเริ่มแสดงท่าทีร่วมมือ และต่อมาได้มีการขยายเวลาหยุดยิงออกไปจนถึงวันที่ 30 เมษายน ภายหลังการเจรหาระหว่างผู้นำกองทัพ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการประกาศหยุดยิงอย่างเป็นทางการ การโจมตีโดยกองทัพกลับไม่ได้ยุติตามที่คาดหวัง รายงานของรอยเตอร์สซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และฐานข้อมูล Armed Conflict Location & Event Data Project (ACLED) ระบุว่า ระหว่างวันที่ 28 มีนาคมถึง 24 เมษายน กองทัพเมียนมาได้ดำเนินการโจมตีอย่างน้อย 207 ครั้ง ซึ่งรวมถึงการโจมตีทางอากาศ 140 ครั้ง และการยิงปืนใหญ่ 24 ครั้ง โดยในจำนวนนี้มากกว่า 172 ครั้งเกิดขึ้นหลังการประกาศหยุดยิง และ 73 ครั้งเกิดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวโดยตรง
ข้อมูลยังเผยว่า ความถี่ของการโจมตีเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยก่อนการหยุดยิง กองทัพเมียนมาดำเนินการโจมตีทางอากาศและโดรนเฉลี่ยวันละ 7.6 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตมากกว่าห้าคนต่อวัน ขณะที่หลังการหยุดยิง ตั้งแต่วันที่ 2 ถึง 18 เมษายน ตัวเลขเพิ่มเป็นเฉลี่ย 9.7 ครั้งต่อวัน และมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยมากกว่าหกคนต่อวัน โดยมีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีทางอากาศราว 105 คนในช่วงเวลาดังกล่าว
ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่ากลุ่มต่อต้านบางกลุ่มยังคงมีกิจกรรมทางทหารบ้าง แต่ข้อมูลระบุว่าระหว่างวันที่ 2 ถึง 18 เมษายน กลุ่มต่อต้านดำเนินการโจมตีทางอากาศเพียง 3 ครั้งเท่านั้น และทั้งหมดเป็นการโจมตีด้วยโดรน เทียบไม่ได้กับขนาดของการโจมตีโดยกองทัพ
แม้กองทัพจะออกแถลงการณ์ขยายเวลาหยุดยิงและเตือนกลุ่มต่อต้านไม่ให้โจมตีเจ้าหน้าที่รัฐหรือโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงห้ามรับสมัครทหารใหม่หรือดำเนินการใดๆ ที่จะ "เป็นอันตรายต่อกระบวนการสันติภาพ" แต่ท่าทีในภาคสนามกลับสะท้อนความจริงอีกด้าน นั่นคือ กองทัพยังคงเน้นการดำรงอำนาจ ใช้สถานการณ์หลังภัยพิบัติเป็นโอกาสในการรุกคืบทางการทหาร และสกัดกั้นการขยับตัวของฝ่ายต่อต้านอย่างต่อเนื่อง