ญี่ปุ่น หมากตัวแรกของสงครามภาษีทรัมป์ พันธมิตรเบอร์หนึ่งสหรัฐ

29 เม.ย. 2568 | 00:00 น.

ญี่ปุ่น ประเทศแรกที่เปิดโต๊ะเจรจาการค้ากับสหรัฐ ไม่เพียงสะท้อนความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างสองชาติ แต่อาจเป็นต้นแบบสำคัญที่กำหนดทิศทางการเจรจาของประเทศอื่น

"ญี่ปุ่น" กลายเป็นชาติแรกที่ได้เริ่มต้นเปิดโต๊ะเจรจาการค้ากับสหรัฐอย่างเป็นทางการ ภายหลัง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา 

การเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาจกลายเป็นแม่แบบให้ประเทศอื่นที่ต้องเข้าสู่การเจรจากับสหรัฐในลำดับถัดไป คำถามก็คือ หากญี่ปุ่นไม่สามารถตกลงเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ได้ การเจรจาของประเทศอื่นจะมีแนวโน้มที่ต้องเผชิญความยากลำบากตามไปด้วยหรือไม่ 

แล้วทำไมญี่ปุ่นจึงได้รับสิทธิ์เปิดการเจรจาก่อนใคร คำตอบสะท้อนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะสถานะของญี่ปุ่นในฐานะหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐในเอเชีย ซึ่งมีความร่วมมือแน่นแฟ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคงมาอย่างยาวนาน

พันธมิตรแนบแน่นทางยุทธศาสตร์

ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ มีพันธมิตรความมั่นคงแน่นแฟ้นมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ภายใต้ข้อตกลงที่อนุญาตให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพในญี่ปุ่นเพื่อคานอำนาจฝ่ายตรงข้ามในเอเชีย  มีฐานทัพทหารสหรัฐมากกว่า 80 แห่งในญี่ปุ่น ทหารสหรัฐประจำการอยู่ในญี่ปุ่นมากกว่าประเทศอื่น

แหล่งข้อมูลจาก Center for Strategic and International Studies (CSIS) และ Council on Foreign Relations (CFR) ระบุว่า ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่เพียงเรื่องการทหาร แต่เป็นรากฐานของความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระดับโลก

ในปี 2015 ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ญี่ปุ่นได้ตีความรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่อนุญาตให้กองทัพปกป้องพันธมิตรได้เป็นครั้งแรก แต่ภายใต้สถานการณ์ที่จำกัด การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ช่วยปูทางให้สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นแก้ไขแนวทางการป้องกันประเทศอีกครั้ง โดยขยายขอบเขตความร่วมมือทางทหารและเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรในด้านการคุกคามในปัจจุบัน รวมถึงจากจีนและเกาหลีเหนือ และเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

 

นักลงทุนรายใหญ่ในสหรัฐฯ

ในด้านเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนโดยตรงรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า FDI กว่า 783.3 พันล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลจาก JETRO และ BEA การลงทุนเหล่านี้สนับสนุนนโยบาย "Bring jobs back to America" ของทรัมป์ และทำให้ญี่ปุ่นมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในสหรัฐฯ สูงมาก

ปี 2022 ญี่ปุ่นติดอันดับ 3 อันดับแรกจากทั้งหมด 50 รัฐในด้านจำนวนบริษัทในบรรดาประเทศนักลงทุนต่างชาติทั้งหมด โดยแท้จริงแล้ว ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับ 1 ใน 40 รัฐของสหรัฐ 

ในปีเดียวกัน บริษัทญี่ปุ่นมีพนักงานชาวอเมริกันทำงานให้กับทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากถึง 968,700 คน ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งทำงานในภาคการผลิต ขณะที่บริษัทญี่ปุ่นมีพนักงานชาวอเมริกันทำงานให้กับบริษัทการผลิตในสหรัฐฯ มากถึง 529,200 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น 82.9% เมื่อเทียบกับปี 2010 หรือมีพนักงานเพิ่มขึ้น 239,800 คน

อำนาจทางการเงินผ่านพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

ญี่ปุ่นถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มูลค่า 1.1259 ล้านล้านดอลลาร์ ณ เดือนเมษายน 2025 (ข้อมูลจาก U.S. Department of the Treasury) ซึ่งมากที่สุดในโลก ข้อมูลระบุว่าการถือครองในระดับนี้ทำให้ญี่ปุ่นมีอำนาจต่อรองสูงยิ่งขึ้น

ล่าสุดญี่ปุ่นได้เทขายพันธบัตรมูลค่ากว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ในเดือนเมษายน 2025 เพื่อปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดการเงินทันที

แม้ญี่ปุ่นจะได้เริ่มต้นการเจรจาก่อน แต่เส้นทางยังไม่ราบรื่น การเจรจานัดแรกยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง โดยเฉพาะประเด็นค่าเงินเยนที่สหรัฐฯ เห็นว่าอ่อนค่าเกินไป ฝ่ายญี่ปุ่นต้องการประคองเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ยังต้องรักษาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสหรัฐฯ และไม่สามารถหันไปพึ่งจีนได้ง่าย

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เรียวเซ อาคาซาวะ หัวหน้าคณะเจรจาภาษีของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นมือขวาของนายกรัฐมนตรีชิเงรุ อิชิบะ มีกำหนดเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่สองในวันพุธหน้า (30 เม.ย.) หลังจากเดินทางเยือนเมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อหารือกับ สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ

การเจรจารอบแรกนั้น อาคาซาวะเรียกร้องให้สหรัฐฯ ทบทวนมาตรการภาษีศุลกากรที่ประกาศใช้กับญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วยภาษีรถยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม รวมทั้งภาษีพื้นฐาน 10%