ย้อนรอยเหตุวินาศกรรม 9/11 สหรัฐอเมริกา สะเทือนเศรษฐกิจโลก

11 ก.ย. 2567 | 05:00 น.

เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต และเรียนรู้เหตุการณ์จากอดีต ย้อนรอยถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากเหตุการณ์ 9/11 ความผันผวนของตลาดหุ้น การล่มสลายของธุรกิจต่างๆ

11 กันยายน 2544 เหตุวินาศกรรม 9/11 นับเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจและทำให้ทั่วโลกต้องหยุดชะงัก หลังเครื่องบิน 2 ลำพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในมหานครนิวยอร์ก ลำแรกชนตึกฝั่งทิศเหนือ เวลา 8.46 นาที หลังจากนั้นตึกฝั่งทิศใต้ ก็ถูกชนในเวลาห่างกันไม่ถึง 20 นาที ซ้ำร้ายอีกครั้งเมื่อเครื่องบินลำที่ 3 พุ่งชนด้านหน้าของอาคารเพนตากอน และลำที่ 4 บินตกลงในทุ่งที่รัฐเพนซิลเวเนีย

เหตุการณ์เขย่าขวัญนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความปลอดภัยของผู้คนเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล

ความสูญเสียของเหตุวินาศกรรม 9/11 ส่งผลให้ทรัพย์สินของสหรัฐอเมริกา ถูกทำลายมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ความเสียหายที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นที่ตึกแฝด World Trade Center อาคารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ณ เวลานั้น ด้วยความสูงถึง 110 ชั้น World Trade Center เป็นสัญลักษณ์ของการค้าระหว่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและการเงินโลกในสหรัฐอเมริกา

110 ชั้น

ตึกแฝด World Trade Center เปิดให้บริการวันแรกเมื่อวันที่ 4 เมษายน ปี 2516 มูลค่าการก่อสร้างเดิมในปี 2513 อยู่ที่ประมาณ 900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 170,000 ล้านบาท ในปัจจุบันเมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ

ถือเป็นหนึ่งในโครงการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดและมีความซับซ้อนมากที่สุดในช่วงเวลานั้น โดยก่อนเกิดเหตุ มีบริษัทอยู่ในตึกแฝด World Trade Center ประมาณ 430 บริษัท ซึ่งครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่การเงิน เทคโนโลยี ไปจนถึงการค้าและกฎหมาย บริษัทการเงินเด่นๆ ที่มีสำนักงานอยู่ใน World Trade Center ได้แก่

ตึก South Tower

ตึก South Tower

  • Morgan Stanley บริษัทการเงินและธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลก 
  • Bank of America หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ 
  • Aon Corporation บริษัทที่ปรึกษาด้านประกันภัยและความเสี่ยง

 

ตึก North Tower

ตึก North Tower

  • Cantor Fitzgerald บริษัทนายหน้าซื้อขายพันธบัตรและหลักทรัพย์ ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของตึกฝั่งทิศเหนือ
  • Marsh & McLennan Companies บริษัทที่ปรึกษาด้านการประกันภัยและความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • Deloitte บริษัทที่ปรึกษาด้านการบัญชีและการเงินชั้นนำของโลก มีสำนักงานในตึก North Tower

การจ่ายเงินประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ผลกระทบของเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน และคนจำนวนมากต้องตกงาน และที่สำคัญภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยไปกว่ากัน คือ บริษัทประกันภัย เนื่องจากต้องจ่ายเงินให้กับการเรียกร้องจากเหตุการณ์นี้เป็นมูลค่ารวมประมาณ 40,200 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1,300 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นการจ่ายเงินประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

มีค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่ของตึกแฝด World Trade Center หลังเหตุการณ์ 9/11 มีมูลค่าประมาณ 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงการขจัดซากปรักหักพังและการกู้คืนพื้นที่ ต้องใช้เวลา 99 วันกว่าที่ไฟจะดับสนิทที่ Ground Zero และมากกว่าหนึ่งปี ในการเริ่มการก่อสร้างตึกใหม่

ส่วนย่านโลเวอร์แมนฮัตตันต้องใช้เวลายาวนานถึง 20 ปี และได้รับการลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนรวมกันกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 684,000 ล้านบาท เพื่อนำย่านนี้กลับมาจากช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของนิวยอร์ก

ปัจจุบัน ตำแหน่งศูนย์กลางที่เคยเป็นที่ตั้งของตึกแฝด Twin Towers  กลายเป็นอนุสรณ์สถาน 9/11 หรือ Ground Zero บ่อน้ำที่มี "รากฐาน" ของอาคาร World Trade Center

 

ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

อุตสาหกรรมการบิน

ได้รับผลกระทบโดยตรง สนามบินต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ทำให้เกิดความเสียหายต่อสายการบินและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว โดยรายได้ลดลงเนื่องจากผู้คนลดการเดินทางทางอากาศหลังเกิดเหตุการณ์ บริษัทสายการบินรายใหญ่หลายแห่งประสบปัญหาทางการเงิน และบางแห่งต้องยื่นขอล้มละลาย

 

ภาคของตลาดทุน

ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลก ตลาดหุ้นในหลายประเทศปรับตัวลดลง การค้าโลกชะลอตัว และบางประเทศเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจชั่วคราว โดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปิดตัวลงเป็นเวลา 4 วัน ซึ่งถือเป็นการหยุดการซื้อขายที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเมื่อเปิดทำการอีกครั้ง ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างหนัก ทำให้มูลค่าตลาดลดลงหลายพันล้านดอลลาร์

 

สหรัฐอเมริกาทำอย่างไร หลังเกิดเหตุการณ์ 9/11

สหรัฐฯ ได้เพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงภายในอย่างมหาศาล เช่น การก่อตั้งกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Department of Homeland Security) ปี 2545 รวมถึงการเพิ่มงบประมาณ ในการต่อสู้กับการก่อการร้าย รวมถึงเริ่มจัดการกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย เดือนตุลาคม 2544 สหรัฐฯ และพันธมิตร ได้เริ่มปฏิบัติการทางทหารในอัฟกานิสถาน เพื่อตอบโต้กลุ่มตาลีบันที่ให้ที่หลบภัยแก่กลุ่มอัลกออิดะห์ ผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตี 9/11 

Department of Homeland Security

ในปี 2546 สหรัฐฯ ได้เริ่มสงครามในอิรักมีค่าใช้จ่ายจากการทำสงคราม รวมหลายล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้สหรัฐฯ มีการออกกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย  USA PATRIOT Act  (ยูเอสเอ เพวเทีย แอค) กฎหมายรักชาติสหรัฐ ในเดือนตุลาคม 2544 ซึ่งให้อำนาจเพิ่มเติมแก่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย

ในการสืบสวนและป้องกันการก่อการร้าย กฎหมายนี้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่สามารถดักฟังการสื่อสาร สอดส่องกิจกรรมของผู้ต้องสงสัย และติดตามธุรกรรมทางการเงิน ของกลุ่มที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย เพิ่มการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานข่าวกรองต่างๆ รวมถึงการก่อตั้ง Director of National Intelligence (DNI) เพื่อเป็นผู้นำในการประสานงาน

Director of National Intelligence (DNI)

แม้ว่าเหตุการณ์ 9/11 จะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ แต่ผลกระทบที่ตามมาในขณะนั้นก็ขยายวงกว้างไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง สายการบินรายได้หดตัว การค้าการลงทุนก็ชะลอตัวลงตาม

ถึงแม้เวลาจะผ่านมาแล้วกว่า 23 ปี แต่เหตุวินาศกรรม 9/11 ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะชาวอเมริกัน

 

มรดกทางความรู้สึกจากเหตุการณ์นี้ยังคงหล่อหลอม ให้เราไม่ลืมความสำคัญของสันติภาพ การสร้างความเข้าใจและความเคารพต่อความแตกต่าง เพื่อหวังว่าจะไม่ให้มีโศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต