“เหตุการณ์ 9/11” เรื่องเล่าชวนรำลึกมหันตภัยก่อการร้ายช็อกโลก

10 ก.ย. 2566 | 23:30 น.

11 กันยายน 2001 เกิดเหตุผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพาณิชย์จากสนามบินสามแห่งของสหรัฐอเมริกา เพื่อนำเครื่องบินโดยสารไปใช้แทน "ขีปนาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง" คร่าชีวิตผู้คนราว 3,000 คน การก่อร้ายที่กลายเป็นโศกนาฏกรรมช็อกโลกครั้งนั้น เวียนมาครบรอบ 22 ปีในวันนี้

“เหตุการณ์ 9/11” ปฏิบัติการก่อการร้ายที่โลกไม่มีวันลืม เป็นเหตุการณ์ช็อกโลกที่สะท้อนถึงความโหดร้ายของมนุษยชาติที่รุนแรงที่สุดและทำลายล้างมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกยุคใหม่ วันนี้ 11กันยายน เวียนมาอีกครั้ง เรามาร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งเกิดขึ้นในปีค.ศ. 2001 ด้วยเรื่องราวข้อสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว

 

1.เหตุก่อการร้ายที่ต่อมาเรียกว่า “เหตุการณ์ 9/11” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 (วันที่ 11 เดือน 9 เป็นที่มาของชื่อ 9/11) ผู้ก่อการร้ายได้จี้เครื่องบินพาณิชย์ทั้งหมด 4 ลำ จากสนามบินนานาชาติโลแกน เมืองบอสตัน สนามบินดัลเลส กรุงวอชิงตัน ดีซี และสนามบินนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซี นำไปใช้ในการก่อเหตุ โดย 2 ลำมุ่งไปก่อเหตุที่ตึกแฝดเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ (World Trade Center) บนเกาะแมนฮัตตัน มหานครนิวยอร์ก ตึกแฝดด้านเหนือถูกโจมตีก่อน โดยผู้ก่อการร้ายนำเครื่องบินที่จี้บังคับบินมาพุ่งเข้าชน ณ เวลา 08.45 น. หลังจากนั้น เครื่องบินลำที่ 2 ก็พุ่งชนตึกแฝดด้านใต้ เวลา 09.30 นาฬิกา เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกเป้าหมายที่ชั้น 80 ของตึกที่มีความสูงทั้งหมด 110 ชั้น ตัวตึกแฝดมีไฟลุกท่วมจากน้ำมันเครื่องบินที่ระเบิดเมื่อชนตึก หลังจากนั้นราว 2 ชั่วโมง ตึกสูงระฟ้าที่ครั้งหนึ่งเคยถูกบันทึกว่าสูงที่สุดในโลกก็พังทลายลงมา ทำให้มหานครนิวยอร์กถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันจนมืดครึ้มไปทั้งเมือง

ภาพสะเทือนขวัญที่โลกไม่อาจลืมเลือน

2.เครื่องบินอีก 2 ลำถูกจี้เพื่อหวังไปก่อเกิดเหตุร้ายที่เพนตากอน และทำเนียบขาว โดยเครื่องบินลำที่ 3 ได้พุ่งเข้าชนตึกเพนตากอน ที่เมืองอาร์ลิงตัน มลรัฐเวอร์จิเนีย ตามแผน แต่เครื่องบินลำที่ 4 ที่มุ่งหน้าสู่ทำเนียบขาวได้ตกลงที่เมืองแชควิลล์ มลรัฐเพนซิลวาเนีย ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนเนื่องจากผู้โดยสารบนเครื่องบินส่วนหนึ่งร่วมกันต่อสู้ขัดขืนผู้ก่อการร้ายบนเครื่อง

3. เหตุสะเทือนขวัญครั้งนี้ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตประมาณ 3,000 คน บาดเจ็บอีกนับพันคน รัฐบาลสหรัฐระบุ เป็นการกระทำของคนกลุ่มหนึ่งจำนวน 19 คน ในนามของกลุ่มก่อการร้ายอัล-เคดา (Al Qaeda) ซึ่งทางกลุ่มได้ออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบ โลกกลายเป็นพื้นที่แห่งความหวาดระแวงและความหวาดกลัว ชาวมุสลิมถูกคนบางกลุ่มมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เนื่องจากถูกเหมารวมด้วยความคับแค้นใจแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจมากที่สุดที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติ

สภาพเพนตากอนหลังถูกโจมตี

4.ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งดำรงตำแหน่ง ณ เวลานั้น ประกาศสิ่งที่เรียกว่า "สงครามต่อต้านก่อการร้าย" เมื่อ 9 วันให้หลังของเหตุการณ์ 9/11 โดยเขาประกาศต่อนานาประเทศทั่วโลกว่า "ตอนนี้ต้องตัดสินใจแล้วว่า คุณจะอยู่กับฝ่ายเราหรือกับฝ่ายผู้ก่อการร้าย"

หลังการประกาศครั้งนั้น ก่อให้เกิดการไล่ล่าแกนนำผู้ก่อการร้ายกลุ่มอัล-เคดา กองทัพสหรัฐบุกอัฟกานิสถานในเวลาต่อมา จากนั้นก็บุกอิรัก แต่ความเคลื่อนไหวของสหรัฐก็ทำให้เกิดการผงาดขึ้นมาของกลุ่มรัฐอิสลาม และการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของสมาชิกกลุ่มติดอาวุธทั่วตะวันออกกลางที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่าน มีทหารเสียชีวิตหลายพันนายและพลเรือนอีกจำนวนมาก

5.แต่กระนั้น การก่อการร้ายก็ไม่ได้ถูกกำจัดให้หมดไป ประเทศขนาดใหญ่ในยุโรปทุกแห่งต่างเผชิญกับการโจมตีครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีต่อมา  สิ่งที่ยังอาจจะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของ "สงครามต่อต้านก่อการร้าย” คือ นับจากนั้นจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายที่สร้างความเสียหายขนาดใกล้เคียงกับเหตุการณ์ 9/11 เกิดขึ้นอีก นอกจากนี้ ฐานทัพของอัล-เคดาในอัฟกานิสถานยังถูกทำลาย มีการตามล่าตัวผู้นำของกลุ่มในปากีสถาน

10 ปีต่อมา หน่วยซีลของสหรัฐก็ตามพบและปลิดชีพนายอุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้นำกลุ่มอัล-เคดา ที่ประเทศปากีสถาน

6.นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ 9/11 นายอุซามะฮ์ บิน ลาดิน ผู้ก่อตั้งองค์กรทหารรวมอิสลาม “อัลกออิดะฮ์” หรือ อัล-เคดา ซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ , นาโต , สหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศประกาศว่าเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” ได้ตกเป็นเป้าหมายหลักในการไล่ล่าของสหรัฐ โดยทางเอฟบีไอประกาศนำจับเขาด้วยเงินค่าหัว 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ต่อมาในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 กลุ่มนาวิกโยธิน “เนวีซีล” ของสหรัฐพบตัวและยิงบิน ลาดินจนเสียชีวิตที่บ้านพักของเขาในประเทศปากีสถาน ปฏิบัติการครั้งนี้ควบคุมตามคำสั่งของประธานาธิบดีบารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐในขณะนั้น

7.เหตุการณ์ 9/11 ทำให้เกิดความเข้มงวดในแวดวงการบินทั่วโลก การตรวจตราในจุดต่างๆ ทั้งก่อนเข้าอาคาร และที่สนามบินต่าง ๆ มีความเข้มงวดขึ้นอย่างมาก การนำสิ่งของต่างๆ ขึ้นเครื่องบิน หรือนำเข้าไปในอาคารของสนามบินก็มีกฎระเบียบและข้อห้ามต่างๆมากขึ้น หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น แม้กระทั่งเข็มขัดที่มีหัวเป็นโลหะก็ต้องถูกปลดออกเพื่อผ่านเครื่องเอกซเรย์ มีดช้อนส้อมที่เป็นโลหะที่ใช้เสิร์ฟบนเครื่องบินถูกเปลี่ยนเป็นพลาสติก การนำน้ำดื่ม หรือของเหลวใดๆ เข้าไปในเขตก่อนจะขึ้นเครื่องบิน ถูกห้ามเด็ดขาด และต้องใช้เวลาในการตรวจค้นหาระเบิดก่อนขึ้นเครื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมง มาตรการเหล่านี้ยังคงใช้กันอยู่มาจนถึงปัจจุบัน

การนำน้ำดื่ม หรือของเหลวใดๆ เข้าไปในเขตก่อนจะขึ้นเครื่องบิน ถูกห้ามเด็ดขาด

8.การจัดการกับเศษซากปรักหักพังที่เป็นคอนกรีต เศษเหล็ก และเศษกระจกจำนวนมากมายมหาศาลของอาคารตึกแฝด ต้องใช้เวลากำจัดยาวนานถึง 8 เดือน โดย บริเวณที่เคยเป็นตึกแฝดเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ได้ถูกปรับเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่มีชื่อเรียกว่า “กราวด์ ซีโร” (Ground Zero) อยู่ระยะหนึ่ง และต่อมาจึงได้เปิดเป็นอนุสรณ์สถานที่เรียกว่า The National September 11th Memorial เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2011 (พ.ศ. 2554)

 

อนุสรณ์สถาน The National September 11th Memorial

9.ปัจจุบัน บริเวณเดิมที่เคยเป็นที่ตั้งของตึกแฝดเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ กลายเป็นที่ตั้งของอาคาร “วัน เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ (One World Trade Center) หรือบางคนเรียกว่าอาคาร “ฟรีดอม ทาวเวอร์” (Freedom Tower) ความสูง 574 เมตร ซึ่งสูงกว่าอาคารตึกแฝดที่สูง 416 เมตร

บริเวณเดิมที่เคยเป็นที่ตั้งของตึกแฝดเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ กลายเป็นที่ตั้งของอาคาร “วัน เวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ (อาคารสูงที่สุดในภาพ)

ตึกแฝดเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ เหลือเพียงในภาพและความทรงจำ

10. แม้เวลาจะผ่านพ้นมาแล้วถึง 22 ปี แต่ทางการรัฐนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา ก็ยังคงสามารถระบุอัตลักษณ์ของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เพิ่มเติมอีก 2 ราย โดยสื่อใหญ่อย่างซีเอ็นเอ็นและซีบีเอสรายงานตรงกันว่า ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11 อีก 2 รายที่สามารถระบุอัตลักษณ์ด้วยเทคโนโลยีดีเอ็นเอเพิ่มเติม เป็นชาย 1 คน และหญิง 1 คน แต่ทางการขอสงวนนามให้รับทราบเพียงแค่สมาชิกในครอบครัวของผู้เสียชีวิตเท่านั้น

ทั้งคู่ถือเป็นผู้เสียชีวิตจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน 2001 รายที่ 1,648 และ 1,649 ที่ได้รับการระบุอัตลักษณ์ 

ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า ยังมีร่างไร้วิญญาณอีก 1,104 ราย หรือราว 40% ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ก่อการร้ายสะเทือนโลก 9/11 ที่ยังไม่ได้รับการระบุตัว ถึงแม้เวลาจะผ่านมา 22 ปีแล้วก็ตาม