ส่อง “ไบเดนนอมิกส์” ที่ทำเนียบขาวหวังฉุดกระแสนิยม-กระตุ้นเศรษฐกิจ

30 มิ.ย. 2566 | 01:51 น.

สหรัฐกำลังจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีหน้า (2024) ขณะที่คะแนนนิยมในตัวปธน.โจ ไบเดนสำรวจล่าสุดต่ำกว่า 50% ทำเนียบขาวเร่งพลิกสถานการณ์ด้วยการชูนโยบายเศรษฐกิจ “ไบเดนนอมิกส์” หวังฉุดกระแสนิยม

 

นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่กำลังจะพบกับ ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี รักษาตำแหน่งสมัยที่สองของเขาในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า (2024) ได้ประกาศความสำเร็จของ นโยบายเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า “ไบเดนนอมิกส์” (Bidenomics) ที่มุ่งเป้ากระตุ้นการเจริญเติบโต "ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับกลาง" และสามารถควบคุมเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการจ้างงานได้

ผู้นำสหรัฐกล่าวที่นครชิคาโกเมื่อวันพุธ(28 มิ.ย.) เปิดเผยวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของเขา โดยระบุว่า ไบเดนนอมิกส์ จะช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐเติบโตในอัตราที่สูงที่สุดประเทศหนึ่งนับตั้งแต่สิ้นสุดการระบาดของโควิด-19

"เราสร้างงานเพิ่ม 13 ล้านตำแหน่งในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่าประธานาธิบดีสหรัฐทุกคนเคยทำได้ในช่วงสี่ปีแรกที่เข้ารับตำแหน่ง" ไบเดน กล่าว และว่า "นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะนโยบายเศรษฐกิจไบเดนนอมิกส์"

แล้วมันคืออะไร ไหนบอกหน่อย

ปธน.ไบเดน สรุปนโยบายเศรษฐกิจ “ไบเดนนอมิกส์" ของเขา เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่

  • การลงทุนในเทคโนโลยีสมัยใหม่ในอเมริกา
  • ให้การศึกษาและสนับสนุนคนทำงานอเมริกันให้ขยายสถานะของชนชั้นกลาง
  • และ เกื้อหนุนการแข่งขันเพื่อลดต้นทุนและช่วยธุรกิจรายย่อย

ดัชนีทางเศรษฐกิจล่าสุดชี้ให้เห็นว่า อเมริกามีอัตราการจ้างงานสูงขึ้นขณะที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แม้จะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ตั้งเป้าไว้(ที่อัตรา 2%)

ศึกเลือกตั้งใกล้เข้ามา ปธน.โจ ไบเดน เร่งประกาศผลงาน-ชูนโยบายเศรษฐกิจ "ไบเดนนอมิกส์" หวังดึงคะแนนนิยม

อย่างไรก็ตาม คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงมองเศรษฐกิจในด้านลบ โดยผลสำรวจความเห็นล่าสุดที่จัดทำโดย อิปซอส (Ipsos poll) ชี้ให้เห็นว่า ระดับการยอมรับการทำงานของปธน.ไบเดน ในหมู่คนอเมริกันยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 40 กว่าเปอร์เซนต์ โดยประเด็นทางเศรษฐกิจถือเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกัน “กังวลมากที่สุด”

เสียงสะท้อนจากฝ่ายตรงข้าม

นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ คู่แข่งชิงตำแหน่งปธน.กับนายไบเดน เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งประกาศตัวลงชิงชัยอีกครั้งในปีหน้า กล่าวโจมตีนโยบายเศรษฐกิจของนายไบเดนโดยแจกแจงจุดอ่อนเป็นข้อๆ ดังนี้

  • เก็บภาษีอัตราสูง
  • มีกฎเกณฑ์ควบคุมมากมาย
  • เงินเฟ้อหนัก
  • ทำลายภาคพลังงานอเมริกัน ต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
  • ทำลายข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น สนธิสัญญากรุงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก และ ยอมพ่ายแพ้ทางเศรษฐกิจต่อจีนและประเทศอื่น ๆ อันเป็นนโยบายที่ทำให้อเมริกาต้องไปอยู่ท้ายแถวซึ่งต่างจากนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของตนเอง

ด้านนายคริส แจ็คสัน โฆษกของอิปซอส ผู้จัดทำผลสำรวจดังกล่าว ชี้ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่แท้จริง อาจไม่ได้สะท้อนออกมาในรูปของทัศนคติที่คนอเมริกันมีต่อเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ เนื่องจากคนอเมริกันส่วนใหญ่ยังคงรับรู้ถึง "ข่าวร้าย" จากอัตราเงินเฟ้อสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทานในช่วงที่ผ่านมา เมื่อทียบกับ "ข่าวดี" ที่เกิดขึ้น คืออัตราการว่างงานต่ำและเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งมีคนรับรู้น้อยกว่า

เดินสายชูผลงานสามปี กับกฎหมายสามฉบับ

และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ปธน.ไบเดน ต้องออกเดินสาย ชูความสำเร็จของผลงานทางเศรษฐกิจของตนเองภายใต้ชื่อ “ไบเดนนอมิกส์” ในเวลานี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการประชาสัมพันธ์ของทำเนียบขาวเป็นเวลาสามสัปดาห์ เพื่อยกย่องกฎหมายสามฉบับที่ไบเดนเป็นผู้ลงนาม ซึ่งได้แก่

  • กฎหมายโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure law)
  • กฎหมายบรรเทาทุกข์จากโควิด-19 (COVID-19 relief package)
  • และกฎหมายชิปคอมพิวเตอร์และวิทยาศาสตร์ (CHIPS and Science Act)

ซึ่งกฎหมายทั้งสามฉบับนี้ ได้อัดฉีดเม็ดเงินราว 52,000 ล้านดอลลาร์ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม ทางสมาชิกพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นฝ่ายค้านแย้งว่า นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้เป็นสาเหตุหลักของเงินเฟ้อ พร้อมระบุว่าการจ้างงานส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาคืองานที่หายไปในช่วงการระบาดของโควิด ไม่ใช่การสร้างงานใหม่แต่อย่างใด

สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐ สรุปในท้ายที่สุดว่า ถึงกระนั้น การที่ทำเนียบขาวตัดสินใจผูกชื่อของประธานาธิบดีไบเดนไว้กับนโยบายเศรษฐกิจภายใต้ "ไบเดนนอมิกส์" ก็สะท้อนถึงความมั่นใจของรัฐบาลที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ว่าจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย อย่างน้อย...ก็จนถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า