สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงสื่อท้องถิ่น นิวส์เฟิร์สท์ (Newsfirst) ของ ศรีลังกา ว่า นายอุดะยังคา วีระตุงคะ อดีตทูตศรีลังกาประจำรัสเซีย ซึ่งเป็นญาติของ นายโคฐาภยะ ราชปักษะ เปิดเผยว่า อดีตประธานาธิบดี ผู้นี้จะกลับศรีลังกาวันที่ 24 สิงหาคม หลังจากที่เขาเข้ามาพำนักอยู่ในประเทศไทยเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วตามคำขอพำนักเป็นการชั่วคราว โดยเขาเดินทางเข้าไทยด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำจากสิงคโปร์มาลงจอดที่สนามบินดอนเมืองในช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (11 ส.ค.)
นายราชปักษะ อดีตผู้นำศรีลังกาผู้นี้ หลบหนีออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ก่อนจะยื่นใบลาออกในเวลาต่อมา หลังเกิดเหตุจลาจลเป็นวงกว้างทั่วประเทศเนื่องจากประชาชนไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลในการจัดการกับวิกฤติเศรษฐกิจที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 7 ทศวรรษของประเทศ และเกิดเหตุผู้ประท้วงนับพันคนบุกเข้าไปในทำเนียบที่พักและสำนักงานประธานาธิบดีเพื่อขับไล่ให้เขาลงจากตำแหน่ง
นายราชปักษะออกจากประเทศศรีลังกาด้วยเครื่องบินทหารมายังประเทศมัลดีฟส์ จากนั้นก็เดินทางไปสิงคโปร์ และอยู่ที่นั่นหลายสัปดาห์ จนกระทั่งขึ้นเครื่องบินมายังประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ ทางการไทยกล่าวว่า อดีตปธน.ราชปักษะไม่มีความตั้งใจจะขอลี้ภัยทางการเมืองและเขาจะมาพำนักอยู่เป็นการชั่วคราวเท่านั้น
ด้าน นายรานิล วิกรมสิงเห ประธานาธิบดีศรีลังกาคนปัจจุบัน ได้ประกาศเมื่อวันอังคาร (16 ส.ค.) ว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขยายการบังคับใช้ “ภาวะฉุกเฉิน” ในศรีลังกา ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงในวันนี้ (18 ส.ค.) เนื่องจากสถานการณ์ในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว
ก่อนหน้านี้ นายวิกรมสิงเหได้ประกาศภาวะฉุกเฉินขึ้นในประเทศ ซึ่งมีขึ้น 4 วันหลังจากที่นายราชปักษะ อดีตประธานาธิบดีศรีลังกาหลบหนีออกนอกประเทศและลาออกจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนจำนวนมากที่โกรธแค้นรัฐบาลจากปัญหาขาดแคลนอาหาร พลังงาน และยา ได้ออกมาก่อการจลาจลและขับไล่รัฐบาลเป็นเวลายาวนานหลายเดือน
มาตรการดังกล่าวเป็นการให้อำนาจทหารและตำรวจในการปราบปรามและควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้เป็นเวลานาน ทำให้กลุ่มเสรีนิยมฝ่ายขวาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการให้อำนาจทางกฎหมายต่อประธานาธิบดีและเป็นการจำกัดเสรีภาพของประชาชน
สื่อรายงานว่า สถานการณ์ของศรีลังกายังไม่สู้ดีนัก เนื่องจากประชาชนกว่า 22 ล้านคน กำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากจากการขาดแคลนปัจจัย 4 ขั้นรุนแรงตั้งแต่ปลายปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเทศประสบปัญหาทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงจนไม่สามารถนำเข้าสินค้าที่จำเป็นได้
นอกจากนี้ ศรีลังกายังมีภาระหนี้ต่างประเทศมูลค่ามหาศาลกว่า 51,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,785,000 ล้านบาท ณ กลางเดือนเมษายน) ทำให้ต้องเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) ขณะเดียวกัน ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากแตะระดับ 60.8% ก็ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อด้านอาหารอยู่ที่ 90.9% ในเดือนก.ค.ที่ผ่านมา