“เฟด-คลังสหรัฐ” ร่วมออกแรงฉุดเศรษฐกิจพ้นหลุมดำโควิดในปีนี้

24 มี.ค. 2564 | 00:48 น.

“พาวเวลล์-เยลเลน” แถลงเศรษฐกิจสหรัฐยังอยู่ในวิกฤตโควิด แต่จะแข็งแกร่งขึ้นเป็นลำดับเห็นได้ชัดในปีนี้ถึงปีหน้าจากแรงขับเคลื่อนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มนำมาใช้

นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ แถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ (23 มี.ค.) โดยทั้งสองได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และความสำคัญของการใช้ นโยบายทางการเงินและการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากได้รับผลกระทบจาก การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นายพาวเวลล์ ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างมากโดยได้แรงหนุนจากการที่สภาคองเกรสและเฟดต่างก็ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระนั้นก็ตาม เศรษฐกิจยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า "ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์"

"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น และมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับตัวขึ้น และตลาดที่อยู่อาศัยก็ฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมนั้น ยังคงมีความอ่อนแอ และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 6.2% ซึ่งสะท้อนถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอมากกว่าคาด โดยเฉพาะอัตราการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงานที่ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19”

เจอโรม พาวเวลล์ และเจเน็ต เยลเล็น

ประธานเฟดกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงอยู่ห่างไกลจากคำว่า “ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์” และด้วยเหตุนี้ เฟดจึงยังต้องเดินหน้าใช้ มาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจ ต่อไป ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก"

อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความเสี่ยงเงินเฟ้อ นายพาวเวลล์กล่าวว่า เขาคาดว่าเงินเฟ้อจะขยับสูงขึ้นในปีนี้ แต่เชื่อว่าจะไม่ได้ขยับสูงมากนักและจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วคราว นอกจากนี้ เฟดยังมีเครื่องมือเพียงพอที่จะรับมือกับเงินเฟ้อหากเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา   

ด้านนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลัง ได้แสดงความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐและแผนกระตุ้นของรัฐบาลเพื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขณะนี้ยังคงอยู่ในภาวะวิกฤตที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจจะมีการขยายตัวและมีการจ้างงานเต็มศักยภาพในปีหน้า(2565) โดยได้ปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเร็ว ๆนี้

“เรายังคงมีปัญหาใหญ่คือจำนวนคนว่างงานที่เป็นเหมือนหลุมลึก แต่เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ก็เป็นไปได้มากที่ประธานาธิบดีไบเดนจะเสนอใช้แผนระยะยาวที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนที่พร่องไป ให้มากขึ้น โดยจะเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการลงทุนด้านภาคอุตสาหกรรมการผลิต เราจำเป็นต้องลงทุนเพื่อสิ่งเหล่านี้” เยลเลนกล่าวในช่วงหนึ่ง

 

การตกงานยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐ

รัฐมนตรีคลังสหรัฐยังกล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลังจะกระจายเงินช่วยเหลือจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่กลุ่มที่มีความต้องการมากที่สุด ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งมีผู้ประกอบการเป็นสตรีและคนผิวสี

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังจะลดกฎระเบียบของทางการ รวมทั้งข้อกำหนดทางด้านเอกสาร เพื่อให้ชาวอเมริกันที่เดือดร้อนสามารถเข้าถึงเงินทุนเพื่อรับความช่วยเหลือในด้านค่าเช่าบ้านและการจ่ายเงินกู้จำนอง

นางเยลเลนยังกล่าวว่า กระทรวงการคลังกำลังทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลประจำมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นในการให้เงินช่วยเหลือแก่หน่วยงานเหล่านี้จำนวน 3.5 แสนล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับอัตราภาษีนิติบุคคลเพิ่มขึ้นเป็น 28% เมื่อเศรษฐกิจมีความแข็งแรงมากขึ้น

หลังจากการแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ (23 มี.ค.) แล้ว ทั้งพาวเวลล์ และเยลเลน มีกำหนดการต้องแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ (24 มี.ค.) ด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง