"จตุพร"เชื่อ"พิธา" ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ แฉมีบางพรรควางเกมเบี้ยว

17 พ.ค. 2566 | 03:51 น.

"จตุพร"เชื่อ "พิธา"ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เหตุมีบางพรรคและบางคนวางเกมเบี้ยว เบื้องหลังวิ่งวุ่นจับมือกันโดดเดียวก้าวไกล แนะเซ็นเอ็มโอยู 6 พรรครวม 310 เสียง จะไม่ทิ้งกัน

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำสัญญาที่ว่างเปล่า?" ระบุ คำสัญญาร่วมตั้งรัฐบาล 310 เสียงจะมีบางพรรคจ้องหนีไปจับมือกับพรรคอื่น โดยอ้างความจำเป็นของบ้านเมือง ดังนั้นแนวโน้มส่อว่า พรรคก้าวไกลจะตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ

นายจตุพร เตือนว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เรียกร้องทุกพรรคสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ในทางการเมืองอาจเพียงพูดให้ดูดีเท่านั้น แต่ไม่รู้ความเป็นจริงที่อยู่ฉากหลังนั้นคืออะไร อีกอย่างคำสัญญาทางการเมืองนั้น มีคุณค่าเป็นแค่ “ความจำเป็นในอดีต” ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงต้องระวังไว้

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล

"การตั้งรัฐบาล 310 เสียงที่ทำสัญญาปากเปล่ากันนั้น แม้เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (จากทั้งหมด 500 เสียง) แต่คือเสียงข้างน้อยในรัฐสภา ซึ่งมีเสียงรวม 750 เสียง ดังนั้น ส.ว.ยังยืนนิ่ง ไม่ตีไพ่โง่ไปสนับสนุนเสียงของน้อยในสภาผู้แทนราษฎรที่เหลือ 190 เสียง"
 

นายจตุพร  กล่าวว่า ในความจริงของ ส.ว. เพียงไปจับมือกับสภาผู้แทนฯ ให้ได้เสียงอีก 126 เสียงก็จะเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา คือ ส.ว. 250 เสียงบวก 126 เสียง รวมเป็น 376 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 750 เสียงก็สามาตั้งนายกฯ ได้แล้ว แต่ รธน. 2560 บัญญัติเพียงให้เป็นนายกฯ ไม่ได้คุ้มครองเสถียรภาพรัฐบาล จึงมีโอกาสพ่ายแพ้ทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ส.ว.จะไม่มีวันแตกแถวในการเลือกนายกฯ และความเชื่อจะปิดสวิตช์ส.ว.จึงเป็นไปได้ยาก

นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย
ในช่วงเวลา 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นจุดหักเหทางการเมืองในทุกเรื่องได้ เพราะมีหน้าที่วินิจฉัยคำร้องยุบพรรค และคดีของนายพิธา แม้หลายคนมั่นใจว่า กกต.จะไม่กล้าขัดขวางมติประชาชน แต่ตนมีบทเรียน จึงไม่ห้ามที่ใครจะเชื่อเช่นนั้น ถึงอธิบายก็ไม่มีใครฟัง และบทเรียนใครก็เป็นบทเรียนคนนั้น

"เราได้ผ่านความเชื่อมาแล้วว่า เสียงประชาชนไม่มีใครกล้า ซึ่งพิสูจน์แล้วไม่เคยเป็นความจริงเลย ยิ่งการเลือกตั้งหนนี้ไม่ได้เป็นตามปกติ เพราะที่สุดต้องมาเจอด่านเสียง 376 ซึ่งเป็นเรื่องยากกับพรรคที่ชนะเลือกตั้ง"

พร้อมระบุว่า นายเศรษฐา ควรไปพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองช่วงพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่มีเสียงมากถึง 377 เสียง ช่วงนั้น ส.ส.ประชาธิปัตย์เคยไปทำเนียบรัฐบาลขอให้รัฐบาลไฟเขียวให้ ส.ส.รัฐบาลลงชื่อให้ครบจำนวนจะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สภาได้ดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการประชาธิปไตย แต่ถูกพรรคไทยรักไทย ด่ายับเลยว่า ไม่มีธรรมเนียมให้ ส.ส.รัฐบาลไปลงชื่อให้ฝ่ายค้าน จนนำไปสู่การเมืองบนถนนในเวลาต่อมา
 

 

นายจตุพร กล่าวว่า นายเศรษฐา พูดให้พรรคการเมืองแสดงสปิริตสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกฯ พูดก็ดี แต่ผมไม่อยากทาย กลัวถูก และไม่ได้ปรามาสอะไร ผมว่าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะพรรคเพื่อไทยฉลาดเดินเกม เขาบอกว่าหน้าที่ต่อไปนี้การจัดตั้งรัฐบาลให้เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกลรวมเสียง 310 จาก 6 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล"

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน
 ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีตัวเลขตั้งรัฐบาลที่ไม่เปิดเผยที่ผ่านการดีลลับๆ ตามการออกแบบรัฐบาล แล้วท้ายที่สุดพรรคก้าวไกลจะถูกโดดเดียว และแต่ละฝ่ายจะอ้างความจำเป็น จนทำให้เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน เนื่องจากตัวแปรสำคัญคือ ส.ว. ซึ่งเลือกเล่นเกมกับพรรคการเมืองให้แย่งกันตั้งรัฐบาล โดย ส.ว. เลือกยืนนิ่ง ๆ ไม่แสดงท่าทีใด

สิ่งสำคัญในกรณีเลือกนายพิธา เป็นนายกฯ จะต้องให้ไปหาเสียงมา 376 เสียง โดยไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ว.โหวตให้ แต่กรณีคนอื่นเป็นนายกฯ ให้มีเสียงแค่ 251 เกินครึ่งสภาผู้แทนฯ เท่านั้น ดังนั้น การที่บางพรรคปล่อยพรรคก้าวไกลเดินหน้าตั้งรัฐบาลให้ผ่านด่านเป็นนายกฯ ย่อมมองเห็นผลลงท้ายว่า ไปไม่ได้ ตั้งรัฐบาลๆ ไม่สำเร็จเพราะบางพรรคและบางคนจ้องฉีกสัญญาทิ้งแล้วตั้งรัฐบาลกันเอง โดยไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมด้วย

"หลังจากนั้นในพรรคร่วมสัญญา 310 เสียงจะมีคนรักชาติแบบผิดสังเกต ตีฝ่าวงล้อมออกมา ก็ไปบุกบ้านป่ารอยต่อฯ ส่วนคำสัญญาไม่เอาสองลุงที่บอกมาช่วงหาเสียงนั้น จะอ้างเป็นเรื่องความจำเป็นในอดีต แต่ตอนนี้จะไม่เกิดขึ้นแล้ว"

 ในสมัยก่อนในทางการเมืองจะมีข้ออ้างความจำเป็นด้วย "ข้อมูลใหม่" แต่มาสมัยนี้ หลังการหาเสียงเลือกตั้ง ทุกพรรคล้วนมีบาดแผลเต็มตัว อีกทั้งพรรคเพื่อไทยไม่ได้แพ้ใคร แต่แพ้พรรคก้าวไกล ในฐานะเป็นพรรคฝ่ายเดียวกันและกระแสการเมืองประชาชนบีบให้ต้องพูดในด้านดีเข้าไว้ จึงสนับสนุนพรรคคก้าวไกล แต่ให้เป็นหน้าที่พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลเต็มทีในจำนวน 310 เสียง

\"จตุพร\"เชื่อ\"พิธา\" ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ  แฉมีบางพรรควางเกมเบี้ยว

 พรรคก้าวไกลเมื่อชนะเลือกตั้งก็ควรได้เป็นนายกฯ ตามกระบวนการเลือกตั้ง แต่กติกาที่เป็นอยู่ในขณะนี้มันไม่ปกติ และจะเอาเสียงประชาชนไปปิดสวิตซ์ ส.ว. ก็ยาก แล้วยังหวังให้ ส.ว.จำนวนหนึ่งแตกออกมาหนุนพรรคก้าวไกลนั้น ยิ่งเป็นความฝันในฤดูแล้ง เพราะไม่มีอยู่จริง ดังนั้น ในช่วงสองเดือนระหว่าง กกต.พิจารณา ตรวจสอบและรับรอง ส.ส.ไม่รู้ว่าเสียง 310 จะเหลืออยู่ครบกันหรือไม่

"ที่ไม่รู้ว่าจะเหลือเท่าไรนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก กกต. อีกทั้งจะมีพรรคใดใจแข็งหรือไม่ เนื่องจากก้าวไกลเป็นพรรคใหม่พรรคเดียวที่มาเข้าพวก ส.ส.เก่าๆ โดยพรรคอื่นๆ รู้จักกันมาดี เป็นนักการเมืองเก่าทั้งสิ้น ผ่านระบบอุปถัมภ์กันมายาวนาน ซึ่งสัมพันธ์กันในทางการเมืองได้หมด”

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อกระแสสังคมเลือกก้าวไกลแล้ว ยกแรกทุกพรรคต้องเล่นบทพระเอกก่อน คือ สนับสนุนพรรคก้าวไกล เลือกนายพิธา เป็นนายกฯ ดังนั้น ตนจึงเตือนไว้ก่อนเลยว่า ถ้าไม่ลงสัตยาบันใน 310 เสียง จะมีคนไม่รักษาสัญญา

"อีกทั้งถ้า 310 เสียงยืนกราน 190 ยืนกราน และ 250 ก็ยืนกราน ผมรู้ว่าคนคิดกันนอกเกมนี้และทำกันตั้งแต่คืนแรก การพูด การดีลย่อมเห็นกันหมด ให้พูดตอนนี้คนก็ปฎิเสธ แต่ก็เห็นอยู่แล้ว บางคนไม่พร้อมเป็นพรรคฝ่ายค้าน บางคนพกความเครียดแค้น บางคนก็ไปตายเอาดาบหน้าแต่ขอเป็นรัฐบาลก่อน สิ่งสำคัญจะสวนความรู้สึกของคนแต่ละรุ่น"
 

"ใน 310 เสียงนั้น ผมอยากบอกคุณพิธาว่า เอ็มโอยู หรือสัญญาประชาคมนั้น ให้ลงบันทึก ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น 310 เสียงใน 6 พรรคเราจะไม่ทิ้งกัน แล้วนำบันทึกมาแถลงต่อสาธารณะให้ทั้ง 6 พรรคลงนามเป็นคำมั่นว่าจะไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"

นายจตุพร มั่นใจว่า ถ้าไม่มีภาพทั้ง 6 พรรคมาแถลงร่วมกันแล้ว จะมีคนเลี้ยวหนีแน่นอน และได้เตรียมการเลี้ยวแล้ว เพียงรอให้สุดทางก่อนในช่วงเวลา 2 เดือนนี้ ดังนั้น ถ้าต้องการจะมัดรวมก็ต้องแถลงร่วมกันเสีย

“ถ้าไม่เป็นสัญญาประชาคม เชื่อผม อยู่ไม่ครบแน่ ไม่ได้ยุแยงตะแคงรั่ว อย่างไรก็ไป ใครไม่เซ็นให้สังเกตไว้เลย หากทำเป็นสัญญาประชาชคมมาร่วมลงนามต่อสาธารณะแล้วคุณพิธาจะปลอดภัยใน 6 พรรคการเมือง แล้วมีเวลาไปต่อสู่เรื่องอื่นๆ อีกต่อไป มิฉะนันจะมีพวกรับปากแล้วเบี้ยว นัดแล้วไม่มาได้”