ส่องวิธีลดค่าไฟ 10 สต.พรรคก้าวไกล ได้จริงไหม ต้องทำยังไง เช็คที่นี่

04 มิ.ย. 2566 | 04:27 น.

ส่องวิธีลดค่าไฟ 10 สตางค์พรรคก้าวไกล ได้จริงไหม ต้องทำยังไง เช็คที่นี่มีคำตอบ หลังเป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้า แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานรับมีความกังวลถึงตัวเลขปริมาณก๊าซในอ่าวไทย

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ระบุถึงภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ปัญหาค่าไฟฟ้า ว่า ค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 จะลดลงได้โดยรวมระดับ 80 สตางค์ จากแนวโน้มราคางวดปัจจุบัน 4.70 บาทต่อหน่วย มาอยู่ที่ประมาณ 4.00 บาทต่อหน่วย ตามแนวโน้มของราคาเชื้อเพลิงที่ลดลง รวมทั้งการเพิ่มการนำเอาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ผลิตไฟฟ้ามากขึ้น

ทั้งนี้ จากการที่นางสาวศิริกัญญา ระบุว่าจะสามารถลดค่าไฟลงได้อีกประมาณ 10 สตางค์ต่อหน่วย จะส่งผลให้ค่าไฟฟ้างวดสุดท้ายของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 3.90 บาทต่อหน่วย ซึ่งมาจากการบริหารหนี้สินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) โดยออกพันธบัตรระยะยาว และรัฐบาลจะไปช่วยจ่ายดอกเบี้ยแทนในส่วนนี้ จะทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง ได้ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเรื่องการหาเงินมาใช้หนี้ที่ กฟผ.แบกรับภาระค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที (FT) ระดับ 2 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลต่อค่าไฟฟ้าที่จะปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไปนั้น

อย่างไรก็ดี จากตัวเลขการคำนวณค่าเอฟทีงวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค.2566) ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) โดยประชาชนต้องจ่ายคืนค่าเอฟให้ กฟผ.ที่ระดับ 28 สตางค์ต่อหน่วย หรือประมาณงวดละ 20,000 ล้านบาท หรือจ่ายค่าไฟฟ้าที่ 4.70 บาทต่อหน่วย ทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชน 

หากจะคำนวณค่าไฟผ่านนโยบายของว่าที่รัฐบาลพรรคก้าวไกลต้องการที่จะลดค่าไฟฟ้าลงอีก 10 สตางค์ดังกล่าวนั้น ก็สามารถทำได้ โดยรัฐบาลเองออกพันธบัตร และลดการจ่ายคืนค่าเอฟทีให้ กฟผ.เหลือ 18 สตางค์ต่อหน่วย และยืดหนี้ กฟผ. ออกไปอีกระยะหนึ่ง เป็นต้น
 

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานกล่าวอีกว่า การที่รัฐบาลจะลดค่าไฟฟ้าจะใช้วิธีอะไรก็ตามสามารถทำได้หมด หากรัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วย โดยเฉพาะการใช้เงิน เพราะภาระตรงนี้ประชาชนไม่ควรจะรับเพิ่มจากสิ่งที่เกิดขึ้นปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นนั้น มาจากปริมาณก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย 

ส่องวิธีลดค่าไฟ 10 สตางค์พรรคก้าวไกล ได้จริงไหม ต้องทำยังไง

โดยแหล่งเอราวัณในส่วนที่หายไปจากสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) ปริมาณ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เหลือระดับ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งหากเกิดจากภาวะราคาก๊าซธรรมชาติตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น ก็ต้องยอมรับเพราะประเทศไทยนำเข้าปริมาณที่มาก ยิ่งก๊าซในอ่าวไทยหายไปเยอะก็ต้องนำเข้าเยอะ ถือเป็นต้นทุน ส่งผลให้ กฟผ.ต้องแบกรับภาวะค่าเอฟทีตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่กระทรวงพลังงานได้รับจาก กกพ. นั้น ผลกระทบจากปริมาณก๊าซในอ่าวไทยที่หายไปถือว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งที่เป็นปัญหา เพราะหากปริมาณไม่หายไปมากมายระดับ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ค่าไฟฟ้าก็จะไม่ขึ้นมามากขนาดนี้ 

"รัฐบาลจะต้องลงมาดูแลและไปไล่บี้กับบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ในฐานะผู้ดำเนินการผลิตรายใหม่ในสัญญา PSC ไม่ใช่มาโยนภาระตรงนี้ให้ กฟผ. หรือประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า อีกทั้งต้องเข้าใจว่าข้าราชการกระทรวงบางครั้งก็ทำงานลำบาก หากภาคนโยบายไม่เห็นด้วยกับแผนที่นำเสนอ"

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวอีกว่า ยังมีความกังวลถึงตัวเลขปริมาณก๊าซ ในอ่าวไทยว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ตามที่ ปตท.สผ. หรือแม้แต่ที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนยกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ออกมาให้สัมภาษณ์ ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตปลายปีนี้ที่ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเดือน เม.ย. 2567 จะเป็นไปตามสัญญา 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันได้จริง 

เนื่องจากขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว มีมรสุมจะกระทบต่อการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ภาคสนาม จึงยังไม่ไว้วางใจในตัวเลขดังกล่าวว่าจะกลับมาผลิตได้ เพราะโดยหลักความเป็นจริงการขุดเจาะก๊าซฯ ปริเวณดังกล่าวมาเป็นเวลานาน ปริมาณก๊าซลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น จะกระทบต่อคณะทำงานประเมิณค่าเอฟทีงวดต่อไป

"โชคดีที่ราคานำเข้าก๊าซแอลเอ็นจี (LNG) ลดลงมาที่ระดับ 10 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู จึงช่วยลดทอนปัญหาปริมาณก๊าซในอ่าวไทยที่หายไปได้บางส่วน แต่ก็ต้องจับตาราคานำเข้าในฤดูหนาวที่ปกติราคาจะปรับขึ้นตามกลไกความต้องการใช้แอลเอ็นจีในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงเดือน ก.ค.2566 ทั้ง กฟผ. และ ปตท. จะต้องเตรียมข้อมูลราคานำเข้าก๊าซ เพื่อส่งคณะทำงานค่าเอฟทีของ กกพ. เพื่อประกาศค่าเอฟทีงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2566 ต่อไป"