net-zero

GISTDA ชูบทบาทดาวเทียมดันไทยสู่การจัดการอากาศสะอาด–ปูทางเศรษฐกิจอวกาศ

GISTDA ชูข้อมูลดาวเทียมเป็นฐานรองรับการจัดการคุณภาพอากาศ พร้อมผลักดันพรบ.กิจการอวกาศวางโครงสร้างข้อมูลประเทศและเปิดทางพัฒนาธุรกิจอวกาศ

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA  กล่าวใน Panel Discussion: ธุรกิจปรับตัว รับมือ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ในงานสัมมนา SUSTAINABILITY FORUM 2026 Shift Forward: Overcoming Challenges โดยกรุงเทพธุรกิจ 

ดร.ปกรณ์  อธิบายว่า ดาวเทียมสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของชั้นบรรยากาศตั้งแต่ระดับ 5–20 กิโลเมตร ตรวจจับได้ทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ความชื้น ความร้อน รวมถึงการเคลื่อนตัวของมวลอากาศ ทำให้รู้ต้นทาง–ทิศทางของมลพิษ รวมทั้งฝุ่น PM2.5 ที่กระจายมาจากพื้นที่ต่างๆ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน ข้อมูลจากดาวเทียมไม่เพียงช่วยประเมินคุณภาพอากาศ แต่ยังเชื่อมโยงกับงานพยากรณ์น้ำ–น้ำท่วม เนื่องจากสามารถตรวจจับมวลน้ำและความชื้นในอากาศได้แบบต่อเนื่อง

นอกจากนี้ดาวเทียมถ่ายภาพ ไม่ได้เลือกเฉพาะบางจุด ทุกตารางกิโลเมตรจะรู้ว่ามีฝุ่น PM2.5 เท่าไหร่ และอัปเดตทุกชั่วโมง ข้อมูลจากดาวเทียมถูกนำมาปรับเทียบกับเซ็นเซอร์ภาคพื้นดินเพื่อเพิ่มความแม่นยำ ลดปัญหาเซ็นเซอร์คุณภาพต่ำ และช่วยเติมเต็มพื้นที่ที่ไม่มีสถานีตรวจวัด

ดร.ปกรณ์ ยังเล่าถึงปัญหาฝุ่นยังโยงกับไฟป่าและการเผาในภาคการเกษตร โดย GISTDA ใช้ข้อมูลดาวเทียมร่วมกับ NASA เพื่อตรวจจับจุดความร้อน รวมถึงนำข้อมูลภาคพื้นดินมาตรวจสอบความถูกต้อง ทำให้แยกได้ว่าสัญญาณใดเป็นจุดความร้อนจริงหรือเป็นความคลาดเคลื่อนของภาพถ่าย

ทุกวันนี้คือมีชาวบ้านบางกลุ่มที่ยังเผาป่า เผาพืชไร่อยู่ รู้ว่าดาวเทียมโคจรมากี่โมง เช่น โคจร 10 โมง  ก็จะเผา11 โมง อันนี้เกิดขึ้นจริง คือก็จะหลบเวลาเผา เพื่อจะไม่ให้สามารถติดตามได้ 

ไทยต้องใช้ดาวเทียม 16–18 ดวง

GISTDA ระบุว่า ประเทศไทยต้องการดาวเทียมประมาณ 16–18 ดวงเพื่อรองรับงานด้านสิ่งแวดล้อม เกษตร ภัยพิบัติ และความมั่นคง แต่ปัจจุบันมีเพียง 2 ดวง ทำให้ต้องพึ่งพาข้อมูลฟรีจากต่างประเทศ แต่ความถี่ไม่เพียงพอสำหรับงานแบบ near real-time จึงเสนอแผนลงทุนดาวเทียมในระยะ 7–8 ปี มูลค่าประมาณ 20,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 4,000 ล้านบาทต่อปี โดยเห็นว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเสียหายจากภัยพิบัติที่ลดลงได้หลายพันล้านบาทต่อปี

ถ้ามีดาวเทียมครบ 18 ดวง อาจจะเป็นข้อมูลพื้นฐาน เช่น ข้อมูลของอากาศ เป็น indicator ได้ระดับหนึ่ง เเต่การถ่ายให้เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลง ก็จะช่วยป้องกันความเสียหายได้

ปัจจุบันไทยยังไม่มีดาวเทียมเรดาร์ที่ทะลุเมฆได้ ทำให้ต้องขอข้อมูลจากต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วงเกิดน้ำท่วมที่ภาพถ่ายจากดาวเทียมออปติคัลถูกเมฆบดบัง

ข้อมูลดาวเทียมรองรับกฎ EUDR พิสูจน์ไม่ตัดไม้

ดร.ปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กฎ EU Deforestation Regulation (EUDR) จะบังคับใช้กับสินค้าที่ส่งออกไปสหภาพยุโรป โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีการบุกรุกป่า GISTDA ใช้ข้อมูลภาพถ่ายย้อนหลังกว่า 30 ปีในระบบ Land X ให้ผู้ประกอบการตรวจสอบพื้นที่เพาะปลูกและยืนยันว่าไม่มีประวัติการตัดไม้ทำลายป่า ข้อมูลนี้เปิดให้ใช้ฟรี

พรบ.กิจการอวกาศ วางโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล–เปิดประตูเศรษฐกิจอวกาศ

ดร.ปกรณ์  กล่าวถึง ร่างพรบ.กิจการอวกาศผ่านครม.ในยุค พล.อ.ประยุทธ์ และผ่านกฤษฎีกาแล้ว ขณะนี้เตรียมเข้าสภา คาดใช้เวลาอีก 1–2 ปีก่อนประกาศใช้จริง

กฎหมายฉบับนี้จะวางระบบการบริหารจัดการข้อมูลดาวเทียมของประเทศให้เป็นเอกภาพ รองรับงานของรัฐเเละเอกชน ตั้งแต่สิ่งแวดล้อม เกษตร ความมั่นคง ไปจนถึงงานตามพรบ.อากาศสะอาดในอนาคต เช่น การรายงานมลพิษ การพิสูจน์การปล่อยคาร์บอน และการตรวจยืนยันพื้นที่เกษตรตามข้อกำหนดสากล

ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมาย ได้แก่ ส่งเสริมการเกิดธุรกิจอวกาศ (Space Economy) รองรับการเกิดหน่วยงานใหม่ “Thailand Space Agency” เปิดโอกาสพัฒนา Spaceport ฐานยิงดาวเทียมของไทย ซึ่งกำลังศึกษาความเป็นไปได้ เปิดทางกิจกรรม Space Tourism ที่ต่างประเทศเริ่มดำเนินการแล้ว

หลายอย่างเกิดไม่ได้ถ้ากฎหมายไม่มาก่อน นักลงทุนก็ยังไม่กล้าลงทุน 

ร่วมมือต่างชาติ ผลักดันข้อมูลอากาศบนเวทีโลก

นอกจากนี้ ดร.ปกรณ์ ยังกล่าวว่า GISTDA ทำงานร่วมกับองค์กรอวกาศชั้นนำทั่วโลก ทั้ง NASA, NOAA, และประเทศในอาเซียน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลคุณภาพอากาศ จุดความร้อน และเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ดร.ปกรณ์ ผู้อำนวยการ GISTDA ยังดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของ UN ด้านอวกาศ ทำให้ไทยสามารถผลักดันปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนเข้าสู่วาระนานาชาติ

ข้อมูลดาวเทียมคือ “ไกด์ไลน์” ไม่ใช่เครื่องมือจับผิด

GISTDA ย้ำว่าบทบาทหลักคือ ให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่หน่วยลงโทษ ข้อมูลจะถูกใช้เป็นแนวทางให้เกษตรกร ผู้ประกอบการ และประชาชนปรับปรุงการทำงานของตนเอง เช่น ตรวจสอบการปล่อยคาร์บอน หรือพิสูจน์ว่าพื้นที่เพาะปลูกไม่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกป่า

ข้อมูลจากดาวเทียมไม่ใช่ไว้จับผิด แต่ไว้ช่วยให้ทุกคนปรับตัว เพื่อให้ประเทศลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้จริง