In Brief
โครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือ CCS ถือเป็นหนึ่งในแผนงานในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Net Zero) โดยได้นำโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ในอ่าวไทยของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ที่มีศักยภาพการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ สูงสุดประมาณ 1 ล้านตันคาร์บอนไดอกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂eq) ถูกบรรจุอยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปีพ.ศ. 2564-2573 (NDC Action Planon Mitigation) ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567
ประกอบกับการจัดทำเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 ซึ่งเป็นการยกระดับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (พ.ศ. 2574–2578) เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศให้เร็วขึ้น 15 ปี หรือภายในปี 2593 โครงการ CCS บริเวณอ่าวไทยตอนบน (CCS Hub) เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้ถูกบรรจุการพัฒนาไว้ภายใต้แผน NDC 3.0 มีศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
แต่เนื่องจากการพัฒนาโครงการต้องใช้เงินลงทุนที่สูง หากจะให้โครงการเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากนานาชาติราว 454.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5 หมื่นล้านบาท
ล่าสุดโครงการ CCS นำร่องที่แหล่งอาทิตย์นั้น ปตท.สผ.ได้ประกาศ ตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) แล้ว โดยจะใช้ เงินลงทุนใน 5 ปี รวมประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือราว 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี ในการออกแบบทางวิศวกรรม การจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ การก่อสร้าง และติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนเริ่มกระบวนการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในปี 2571 ทั้งนี้ โดยคาดว่าโครงการจะสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ ประมาณสูงสุด 1 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดเผยว่า สำหรับโครงการ CCS Hub บริเวณอ่าวไทยตอนบนนั้น ทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ได้เสนอแนวทางการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและองค์การเพื่อความมั่นคงด้านโลหะและพลังงานแห่งประเทศญี่ปุ่น (JOGMEC) ต่อคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการดำเนินงานภายใต้ข้อจำกัดทางกฎระเบียบ
หลังจากที่ปตท.สผ.ได้ดำเนินการประมวลผลข้อมูลสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือน 3D Rayong ที่มีระยะห่างจากแหล่งอุตสาหกรรมภาคตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตรแล้วเสร็จ เห็นความต่อเนื่องของชั้นหินกักเก็บและชั้นหินปิดกั้น รวมถึงรอยเลื่อน สามารถประเมินศักยภาพกักเก็บเบื้องต้นในแอ่งกระตะวันออกได้ 286 ล้านตัน และทางบริษัท อิน เปกซ์ คอร์ปอเรชั่น (INPEX) จากญี่ปุ่น ประเมินได้ที่ 130-239 ล้านตัน
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนเพิ่มเติม และการเจาะหลุมสำรวจ เพื่อพิสูจน์และยืนยันศักยภาพปริมาณกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ แต่เนื่องจากพื้นที่บริเวณอ่าวไทยตอนบน ใม่มีหน่วยงานหลักในการกำกับดูและและไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม จึงต้องขอมติจาก ครม.อนุมัติมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการกำกับดูแล และประสานหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการศึกษาและพิสูจน์ทราบศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนในชั้นหินทางธรณีวิทยา ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน เพื่อสำรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนใหม่ (2 มิติ และ/หรือ 3 มิติ) และการเข้าพื้นที่เพื่อเจาะหลุมสำรวจ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Cooperation : MoC) ระหว่างราชอาณาจักรไทย และประเทศญี่ปุ่นในด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS เพื่อศึกษาและประเมิน ศักยภาพชั้นหินทางธรณีวิทยาเพื่อกักเก็บคาร์บอนในขั้นหินทางธรณีวิทยาของประเทศไทย
อีกทั้ง เพื่อให้สามารถดำเนินการโครงการศึกษาและพิสูจน์ทราบศักยภาพฯ อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ภายใต้งบประมาณและการดำเนินการที่ได้รับการสนับสนุนโดยสมัครใจจากภาคเอกชนตามความร่วมมือของรัฐบาลทั้งสองประเทศ โดยขอให้ ครม.พิจารณาให้สิทธิประโยชน์ ในการนำผู้เชี่ยวชาญเข้ามาในราชอาณาจักร และสิทธิยกเว้นอากรนำเข้าวัสดุ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เฉพาะที่จำเป็นต่อการดำเนินโครงการ รวมถึงการอำนวยความสะดวก ในพิธีการ ขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ หาก ครม. เห็นชอบแนวทาง การดำเนินงานแล้ว จะมีการเข้าพื้นที่เพื่อสำรวจคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Acquisition) เพื่อเก็บ ข้อมูลสำหรับประเมินศักยภาพการกักเก็บในปี 2569 ต่อไป ซึ่งหากเป็นไปตามแผนเบื้องต้นคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย(FID)ในปี 2574 และจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี 2577 ซึ่งโครงการดังกล่าวนอกจากจะลดคาร์บอนแล้ว ยังช่วยการจ้างงาน 1.1 หมื่นคน และเพิ่ม GDP ได้ปีละ 1.8 หมื่นล้านบาท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง