In Brief
เหลือระยะเวลาอีกราว 2 เดือน ที่รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะประกาศยุบสภาฯ เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามที่ได้มีการตกลงกันไว้
ส่งผลให้ต้องเร่งขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายที่แถลงต่อสภาฯไว้ โดยเฉพาะนโยบาย “Quick Big Win” ในด้านต่าง ๆ
ที่เห็นเป็นรูปธรรม “Quick Big Win” ด้านพลังงาน ที่เดินหน้าผลักดันอย่างเร่งด่วน ภายใต้การนำของ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เน้นโครงการที่สามารถ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ผ่าน 3 มาตรการ 10 แผนงาน สร้างรายได้ ลดรายจ่าย และรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางพลังงาน เศรษฐกิจ และเป้าหมาย Net Zero Emission ในปี 2593
เมื่อไล่ดูไทม์ไลน์การดำเนินงานของกระทรวงพลังงานพบว่า ปัจจุบันโครงการโซลาร์เพื่อประชาชน ซึ่งเป็นกลุ่มโครงการ Quick Win ที่เน้นการกระจายการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สู่ภาคครัวเรือน เกษตรกร การดำเนินงานมีความคืบหน้าเป็นลำดับ โดยโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบรูปแบบโครงการจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง ที่จะพิจารณาจากศักยภาพระบบไฟฟ้า ความต้องการใช้ไฟของชุมชน และความพร้อมของที่ดินในพื้นที่ รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี สัญญาแบบ Non-Firm และเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้แก่ผู้ใช้ไฟในชุมชนเป้าหมาย การคัดเลือกเอกชนร่วมดำเนินโครงการจะพิจารณาจากความพร้อมทั้งด้านคุณสมบัติ และเทคนิค และสิทธิในหน่วย Renewable Energy Certificate (REC) หรือ Carbon Credit ที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าภายใต้โครงการนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของภาครัฐ
ล่าสุดทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) อยู่ระหว่างการออกหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ จากนั้นจะประกาศเชิญชวนรับซื้อไฟฟ้า ก่อนจะเปิดรับยื่นข้อเสนอขอขายไฟฟ้าภายในเดือนธันวาคม 2568 และ ประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือก โครงการฯได้ภายในเดือนมกราคม 2569
โครงการนี้ ตั้งเป้าหมายจะก่อให้เกิดการลงทุนราว 10,250 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในระบบเศรษฐกิจได้สูงถึง 30,000 ล้านบาท ประชาชนจะได้รับประโยชน์จากการลดค่าไฟฟ้าครัวเรือน คิดเป็นมูลค่ารวม 410 ล้านบาทต่อปี ช่วยสร้างโอกาสในการจ้างงานในพื้นที่ได้มากถึง 1,785 ตำแหน่ง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ประมาณ 0.91 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO2eq/ปี)
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโซลาร์สูบนํ้าเพื่อเกษตรกร จำนวน 250 ระบบ มีเป้าหมายระยะนำร่อง 50 ระบบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขอรับงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า คาดว่าในเดือนธันวาคมนี้ จะสามารถเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้ และเริ่มก่อสร้างและส่งมอบให้ชุมชนได้ในเดือนมกราคม 2569
ส่วนอีก 200 ระบบ ซึ่งเป็นระยะขยายผล ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.) จะจัดทำหลักเกณฑ์ และเงื่อนไข การขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน และจะเปิดรับข้อเสนอ การใช้งบจากกองทุนอนุรักษ์พลังงานฯ ในเดือนธันวาคม ก่อนจะ แจ้งมติผู้ได้รับการสนับสนุน การดำเนินงานก่อสร้างคาดว่าจะส่งมอบงานได้ภายในปี 2569
สำหรับโครงการโซลาร์สูบนํ้าเพื่อเกษตรกรทั้ง 250 ระบบนี้ จะก่อให้เกิดการลงทุนรวมประมาณ 2,616 ล้านบาท เกษตรกรได้รับประโยชน์ 439 ล้านบาทต่อปี เกิดการจ้างงาน 3,000 ตำแหน่ง และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ประมาณ 1 พันตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
รวมถึงโครงการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ด้วยมาตรการทางภาษีสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาทต่อราย มีเป้าหมายติดตั้ง 90,000 ครัวเรือน โดยในเดือนพฤศจิกายนนี้ กรมสรรพากรจะเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี นำเสนอต่อกฤษฎีกา เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา เรื่องการลดหย่อนภาษีสาหรับ ผู้ที่ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปในบ้านเรือนต่อไป
โครงการดังกล่าวนี้ คาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนราว 52,025 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ คิดเป็นมูลค่ารวม 10,800 ล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นประมาณ 448 ตำแหน่ง ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ประมาณ 256,800 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง