KEY
POINTS
สิงคโปร์–เวียดนาม จับมือค้าข้าวคาร์บอนต่ำ เขย่าตลาดโลก เตรียมปั้นอาเซียนไรซ์ฮับ–เชื่อมตลาดคาร์บอน CIX ของสิงคโปร์ ขึ้นศูนย์กลางค้าข้าวยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญชี้ไทยเสี่ยงเสียตลาดหากไม่เร่งปรับตัว แนะรัฐ–เอกชนเร่งพัฒนาแผนข้าวคาร์บอนต่ำใน 5 ปี มุ่งตลาดพรีเมียมในต่างประเทศสู้ศึก
ช่วงการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ สิงคโปร์และเวียดนามได้ลงนามใน “บันทึกความร่วมมือว่าด้วยการค้าข้าวอย่างมั่นคงและยั่งยืน” (Memorandum of Cooperation : MoC) ระหว่างรัฐบาลสาธารณรัฐสิงคโปร์และรัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (ลงนามเมื่อ 30 ต.ค. 2568)
ข้อตกลงนี้ลงนามโดย นางเกรซ ฟู (Grace Fu) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน และรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ทางการค้าของสิงคโปร์ ร่วมกับ นายเหงียน ฮง เดียน (Nguyen Hong Dien) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนาม
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บันทึกความร่วมมือว่าด้วยการค้าข้าวฯ ดังกล่าว ถือเป็นฉบับแรกของสิงคโปร์กับประเทศคู่ค้า แต่ไม่ใช่ฉบับแรกของเวียดนาม (เวียดนามยังทำข้อตกลงข้าวกับฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แต่ไม่ใช่ข้าวยั่งยืนแบบสิงคโปร์)
สาระสำคัญของความร่วมมือในครั้งนี้คือ
1.สร้างความมั่นคงด้านอาหาร เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่นำเข้าข้าวเกือบ 100% ของการบริโภคภายในประเทศ การจับมือกับเวียดนามจึงช่วยให้สิงคโปร์ไม่ขาดแคลนข้าว และไม่พึ่งแหล่งเดียว
2.สนับสนุนการค้าข้าวที่ยั่งยืน โดยทั้งสองประเทศตกลงจะส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตข้าว การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานสีเขียว การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระบบค้า มีการจัดทำข้อมูลข้าวด้วย Blockchain และมีแพลตฟอร์มตรวจสอบย้อนกลับ
3.เพิ่มบทบาทเวียดนามในตลาดข้าวพรีเมียม เพราะสิงคโปร์มีเครือข่ายค้าปลีกและโลจิสติกส์ระดับโลก (ผ่านบริษัท Olam, Wilmar ฯลฯ) การร่วมมือครั้งนี้จึงทำให้สิงคโปร์ช่วยเวียดนาม “ขยายตลาดข้าวคุณภาพสูงและข้าวคาร์บอนตํ่า” สู่ตลาดโลก เช่น ตะวันออกกลาง และยุโรป
และ 4.เป็นความร่วมมือตาม CSP ของทั้งสองประเทศ (Vietnam–Singapore Comprehensive Strategic Partnership) เมื่อ 27 สิงหาคม 2023
นอกจากนี้ เพื่อตอบโจทย์ของสิงคโปร์คือ 1.การวางตัวเป็นศูนย์กลางการค้าข้าวของอาเซียน (ASEAN Rice Hub) 2.การเชื่อมโยงกับตลาดซื้อขายคาร์บอนของสิงคโปร์ที่ชื่อว่า “Climate Impact X (CIX)” เปิดตัวปี 2021 ร่วมทุนโดย DBS Bank, ตลาดหลักทรัพย์แห่งสิงคโปร์, Standard Chartered Bank และ Temasek Holdings
ปัจจุบันมีการซื้อขายหลักหมื่นตันคาร์บอนต่อปี เทียบกับ EU ETS ที่ซื้อขายหลักร้อยล้านตันต่อปี นอกจากนี้ CIX ยังเป็นการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูธรรมชาติในประเทศอินโดนีเซียและประเทศในทวีปแอฟริกา
ข้อมูลในปี 2024 (พ.ศ. 2567) สิงคโปร์นำเข้าข้าว 424,329 ตัน มูลค่า 321.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยนำเข้าจากอินเดียมากเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยเวียดนามและไทย
ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร ช่วง 7 เดือนแรกปี 2568 ไทยส่งออกข้าวไปสิงคโปร์ 70,220 ตัน มูลค่า 2,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการส่งออก 9,586 ตัน มูลค่า 306 ล้านบาท โดยตลาดสิงคโปร์อยู่ในลำดับที่ 17 ของตลาดส่งออกข้าวไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568
“บันทึกความร่วมมือฯ จะเป็นประโยชน์ทั้งสิงคโปร์และเวียดนาม คนสิงคโปร์จะมีข้าวกินตลอดปี และเสริมให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางค้าข้าวคุณภาพสูงและตลาดซื้อขายคาร์บอน ส่วนเวียดนามจะขายข้าวเพิ่มขึ้นและมีสิงคโปร์ช่วยทำตลาดข้าวคุณภาพและข้าวคาร์บอนตํ่า คาดว่าเราจะได้เห็นการสร้างแบรนด์ ‘ข้าวคาร์บอนตํ่า’ จาก 2 ประเทศที่มีจุดเด่นต่างกัน สิงคโปร์เก่งขาย เวียดนามเก่งผลิต มาทำงานร่วมกัน”
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับไทย ที่สำคัญคือ
1.จะกระทบต่อการค้าข้าวคาร์บอนตํ่า รวมถึงข้าวยั่งยืนอื่น ๆ ของไทยด้วย เช่น ข้าวออร์แกนิก เป็นต้น เพราะเวียดนามทั้งผลิตและขายผ่านสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ไทยสูญเสียตลาดข้าวคาร์บอนตํ่าในอนาคต และ 2.ตลาดซื้อขายคาร์บอนสิงคโปร์ (CIX) จะกลายเป็นตลาดซื้อขายคาร์บอนสินค้าเกษตรของอาเซียน นอกจากนี้ สิงคโปร์มีแผนจะขายปาล์มยั่งยืนจากอินโดนีเซียและมาเลเซียด้วย
ดร.อัทธ์ ระบุว่า สิ่งที่ไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับความร่วมมือของสิงคโปร์และเวียดนามข้างต้น คือ 1.เร่งทำแผนการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำใน 5 ปีข้างหน้า 2.จัดทำจังหวัดนำร่องข้าวคาร์บอนตํ่า 3.ทำต้นแบบข้าวคาร์บอนตํ่าสำหรับเกษตรกร โรงสี ห้างค้าปลีก และผู้ส่งออก และ 4.เร่งทำแผนข้าวคาร์บอนตํ่าสำหรับตลาดพรีเมียมในต่างประเทศ