net-zero

‘บีซีพีจี’ อัด 2.2 หมื่นล้าน ลุยไฟฟ้าสีเขียว ต่อยอด 3 ธุรกิจใหม่

In Brief

  • บีซีพีจี (BCPG) จัดสรรงบลงทุน 2.2 หมื่นล้านบาทในช่วง 3 ปี (2569-2571) เพื่อขยายธุรกิจพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานแห่งความยั่งยืน
  • เดินหน้าลงทุนโครงการไฟฟ้าสีเขียวในต่างประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน พลังงานลมในเวียดนาม และต่อยอดโครงการพลังงานลมใน สปป.ลาว
  • แตกไลน์สู่ 3 ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ระบบบริหารจัดการน้ำและน้ำเย็น และธุรกิจรีไซเคิลแผงโซลาร์และแบตเตอรี่

บริษัท บีซีพีจี จำกัด  (มหาชน) ตั้งเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทในดัชนี SET 50 รวมถึงการได้รับการจัดอันดับในดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI (Dow Jones Sustainability Index) ภายในปี 2571 หลังจากติดทําเนียบ ESG 100 ในกลุ่มทรัพยากรต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 จากการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 ประจำปี 2568 ที่มีการดําเนินงานโดดเด่นด้าน ESG และมีเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์( Net Zero) ภายในปี 2593

นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า การดำเนินงานในช่วง 3 ปี จากนี้ไป (2569-2571) บริษัท ได้จัดสรรเงินลงทุนไว้ราว 2.2 หมื่นล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ “The Next Decade: Broadening Horizons of Sustainability” ต่อยอดจากความสำเร็จในธุรกิจพลังงานสะอาด สู่การสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานแห่งความยั่งยืนในทุกมิติ” เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

‘บีซีพีจี’ อัด 2.2 หมื่นล้าน ลุยไฟฟ้าสีเขียว ต่อยอด 3 ธุรกิจใหม่

โดยในปี 2569 จะใช้ลงทุนไว้ประมาณ 7,100 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าโครงการที่อยู่ในพอร์ตให้แล้วเสร็จตามแผน ได้แก่ การทยอยลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและแบบติดตั้งบนบ่อเลี้ยงปลา ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ เมืองไถหนาน, หยุนหลิน, เจียอี้ และเกาสง ของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) มีกำลังการผลิตรวม 469 เมกะวัตต์ ที่จะใช้เงินลงทุนราว 3,500 ล้านบาท ในการพัฒนากำลังผลิตราว 235 เมกะวัตต์ รวมถึงการก่อสร้างสายส่ง ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จหรือเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ประมาณกลางปี 2569 ส่วนที่เหลืออีก 234 เมกะวัตต์ จะทยอยพัฒนาต่อไป

ส่วนเม็ดเงินลงทุนอีก 2,000 ล้านบาท จะนำไปใช้สำหรับการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม จำนวน 2 แห่ง รวมกำลังผลิต 99 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม ประกอบด้วยโครงการ Che Bien Tay Nguyen กำลังผลิต 49.5 เมกะวัตต์ และ โครงการ Phat Trien Mien Nui กำลังผลิต 49.5 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ภายในต้นปี 2569 เป็นอย่างช้า และเม็ดเงินที่เหลืออีก 1,500 ล้านบาท จะนำไปใช้สำหรับการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าที่บริษัทมีอยู่ทั้งหมด รวมถึงการขยายอ่างเก็บนํ้าของโรงไฟฟ้าพลังนํ้าที่มีอยู่ 2 แห่งใน สปป.ลาว รวมกำลังผลิต 114 เมกะวัตต์

นายรวี กล่าวอีกว่า สำหรับเม็ดเงินลงทุน 15,000 ล้านบาท จะนำมาใช้ในช่วงปี 2570-2571สำหรับการขยายธุรกิจด้านพลังงานหมุนเวียน จากการแสวงหาโอกาสการลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพ และการพัฒนาโครงการใหม่ อาทิ การขยายการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมมอนซูน ขนาดกำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์ ของกลุ่มพันธมิตรที่ได้รับสิทธิ์จากรัฐบาล สปป.ลาว ในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโครงการระยะแรกที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบให้กับประเทศเวียดนามไปแล้ว มีกำลังผลิต 600 เมกะวัตต์ บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนราว 48.25% เป็นต้น

รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่บริษัทมุ่งเน้นลงทุนใน 3 ธุรกิจ ได้แก่ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพื่อรองรับการเติบโตของเทคโนโลยีเศรษฐกิจข้อมูล (Data Economy) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)ซึ่งจะมาช่วยต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดของบีซีพีจี และส่งเสริมให้บริษัทฯ ก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่มีมูลค่าสูง เพิ่มโอกาสการเติบโต และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ฐานรายได้ของบริษัทฯ ในระยะยาว พร้อมส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลระดับภูมิภาค (Regional Data Hub)

อีกทั้ง การรุกเข้าสู่ธุรกิจระบบบริหารจัดการนํ้าและนํ้าเย็น เพื่อรองรับความต้องการใช้นํ้าของ Data Center ที่กำลังเติบโต และมีความต้องการนํ้าในปริมาณมาก เพื่อใช้ในระบบหล่อทำความเย็น ซึ่งลักษณะของธุรกิจอาจจะเป็นการรีไซเคิลนํ้าที่ผ่านการใช้งานแล้วกลับมาใช้งานได้อีก เป็นต้น

รวมถึงธุรกิจการรีไซเคิลแผงโซลาร์ (Solar Waste Manage ment) ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ซึ่งบีซีพีจีได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้จากการบริหารจัดการแผงโซลาร์ของบริษัทที่กำลังใกล้จะหมดอายุของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ต่าง ๆ ก่อน รวมถึงโครงการจากหน่วยงานอื่น ๆ ที่ใกล้จะหมดอายุลงเช่นกัน อีกทั้ง ธุรกิจการรีไซเคิลแบตเตอรี่จากยานยนต์ไฟฟ้า(EV) ที่จะหมดสภาพลงในช่วงอนาคตอันนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่และเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่บริษัท