KEY
POINTS
รายงานข่าวจากนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย - บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกาศกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงปี 2568-2572 ซึ่งได้วางกรอบการดำเนินธุรกิจให้ตอบสนองกับทิศทางพลังงานในอนาคตและสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจและมูลค่าได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นที่ธุรกิจผลิตไฟฟ้า ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และพลังงาน ทั้งนี้ กลยุทธ์หลัก (5S) ที่กำหนดไว้ครอบคลุมหลักการ ดังนี้
(S2) การลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าตามแผนกำลังผลิตไฟฟ้าของแต่ละประเทศ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
(S3) การลงทุนธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านพลังงาน
(S4) การพัฒนาโรงไฟฟ้าที่หมดอายุให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
(S5) ลงทุนรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) ในธุรกิจสตาร์ทอัพด้านพลังงานรูปแบบใหม่ และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ดังกล่าวนี้จะเสริมสร้างความมั่นคงและแข็งแกร่งทางการเงิน ความเป็นเลิศการดำเนินงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม และการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ใหม่นี้ ได้กำหนดทิศทางธุรกิจที่มุ่งเน้นธุรกิจไฟฟ้าและพลังงานเป็นหลัก โดยจะขยายการลงทุนครอบคลุมห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจให้มากขึ้น รวมถึงการจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้สร้างมูลค่าสูงสุดทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าให้ใช้พลังงานและปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด การปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวางเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ และนวัตกรรมพลังงานที่สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของโลก
นอกเหนือจากประเทศไทย บริษัทฯ ตั้งใจจะขยายธุรกิจในประเทศที่เป็นฐานการลงทุนปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สปป. ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เป็นต้น อีกทั้งยังตั้งเป้าจะแสวงหาโอกาสการลงทุนในพื้นที่ใหม่ ๆ ที่มีการพัฒนาและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานนอกเหนือจากออสเตรเลีย อาทิ ประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น ด้วย ปัจจุบันในออสเตรเลีย
บริษัทฯ มีบริษัทย่อย คือ บริษัท ราช ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (RAC) เป็นแกนหลักในการขยายธุรกิจและสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ โดยครึ่งแรกของปีนี้มีสัดส่วนรายได้ ร้อยละ 19 ของรายได้รวมบริษัทฯ คิดเป็นจำนวนเงิน 2,948 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จะเพิ่มมากขึ้นหากโครงการที่อยู่ในมือสามารถพัฒนาและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จตามเป้าหมาย
“ออสเตรเลียเป็นตลาดไฟฟ้าพลังงานสะอาดและเกี่ยวเนื่องเติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย Net Zero Emissions ของประเทศ ซึ่งเพิ่มโอกาสการลงทุนพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน ระบบกักเก็บพลังงาน และการให้บริการเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าโดยใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ล่าสุด RAC ได้พัฒนาโครงการ Synchronous Condenser ในโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซทาวน์สวิลล์ ขนาด 234 เมกะวัตต์ เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบส่งไฟฟ้าของรัฐควีนส์แลนด์
โครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับสินทรัพย์โรงไฟฟ้าที่กำลังจะปลดระวางตามแผนงาน และคาดว่าความต้องการโครงการลักษณะนี้จะมากขึ้นตามการใช้พลังงานทดแทนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต” นายนิทัศน์ กล่าว
ภายใต้แผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ RAC จะสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานทดแทนของบริษัทฯ ที่กำหนดเป้าหมายไว้ร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตรวมในปี 2573 และ ร้อยละ 40 ในปี 2578 ปัจจุบัน RAC อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อพัฒนาและก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บไฟฟ้า รวม 9 โครงการ
ในจำนวนนี้มี 4 โครงการที่มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ โครงการพลังงานแสงอาทิตย์มารูลัน กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) ขนาด 81 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 162 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2570 โครงการระบบกักเก็บพลังงานเบรีล ขนาด 100 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 200 เมกะวัตต์-ชั่วโมง และโครงการระบบกักเก็บพลังงานอีแอล เอริช ขนาด 250 เมกะวัตต์ และกักเก็บพลังงานได้ 500 เมกะวัตต์-ชั่วโมง
แผนงานทั้งสองโครงการได้รับความเห็นชอบแล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2572 และโครงการพลังงานลมสปริงแลนด์ อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการ ซึ่งการประเมินเบื้องต้นความเร็วลมเหมาะสมเป็นแหล่งพลังงานได้ และมีระบบสายส่งในพื้นที่รองรับได้ สำหรับกำลังการผลิตของโครงการประมาณการ 500-800 เมกะวัตต์ คาดว่าเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 2573
ปัจจุบัน RAC บริหารจัดการสินทรัพย์โรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย กำลังการผลิตรวม 2,095 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 3 แห่ง และโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 9 แห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการระบบกักเก็บพลังงานด้วย