พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท.กล่าวว่า CAAT กำลังเดินหน้าอย่างจริงจังในการส่งเสริมการใช้น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เพื่อตอบรับเป้าหมายระดับโลกในการลดปริมาณคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบิน โดยมีเป้าหมายระยะยาว สู่การเป็น Net Zero ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)
การผลักดันนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามภารกิจของ กพท. ที่ต้องให้การสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิง SAF และพลังงานสะอาดในภาคการบินของไทย และสอดคล้องกับการประชุม ICAO ที่กำหนดให้ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในอากาศลงให้ได้ 5% ภายในปี 2573
สำหรับแผนการดำเนินงานและไทม์ไลน์ของประเทศไทย ปัจจุบันอยู่ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ 8 สายการบิน ได้แก่ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส เค-ไมล์แอร์ นกแอร์ ไทยแอร์เอเชีย ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ ไทย ไลอ้อน แอร์ และ เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ซึ่งในช่วงแรกจะเน้นการร่วมมือกันในการใช้งาน โดยมีเป้าหมายเริ่มใช้ SAF ในปริมาณ 0.5-1% ในปี 2569 และเพิ่มเป็น 1% ในปี 2570 โดย CAATมีแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการใช้ SAF เป็นลำดับใน 3 ระยะ
ประสานความร่วมมือกับสายการบินของไทย ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กำหนดเป้าหมายการใช้น้ำมันอากาศยานยั่งยืน (SAF) และ CAAT มีหน้าที่กำกับดูแลการรายงานข้อมูลการใช้ให้เป็นไปตามมาตรการของ ICAO ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการทดลองและเก็บข้อมูลเพื่อดูความเหมาะสม ซึ่งจะดำเนินงานอย่างร่วมมือกันไปจนถึงปี 2570
ติดตามการใช้ SAF และประเมินผลการดำเนินงานตามข้อตกลงความร่วมมือ การขยายกรอบความร่วมมือ และเพิ่มเป้าหมายการใช้ SAF และ เตรียมพร้อมด้านกฎหมาย โดยการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้จะพิจารณาเมื่อเห็นว่าเหมาะสมและดีต่อประเทศ โดยจะมีการเตรียมพร้อมในเรื่องของกฎหมายและนโยบายในระหว่างนี้
จะผสานนโยบาย เพื่อกำหนดให้สนามบิน มี SAF ให้บริการสำหรับสายการบินในทุกเที่ยวบินขาออกเพื่อความเท่าเทียม และการออกข้อกำหนดหรือมาตรการบังคับใช้ เพื่อกำหนดให้มีการใช้ SAF อย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องเก็บรายงานการใช้ SAF เพื่อเก็บรายงานการปล่อยก๊าซและรายงาน CORSIA (Carbon Offsetting and Reduction Scheme for International Aviation) มีความสำคัญ เนื่องจากหากไม่มีการใช้ SAF เลย สายการบินจะต้องไปจ่ายค่าคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit)
การผลักดัน SAF เป็นวาระสำคัญของโลก โดยหลายประเทศได้เริ่มใช้มาตรการทั้งแบบสมัครใจและแบบบังคับ ถือเป็นความท้าทายสำคัญที่ทุกประเทศ รวมถึงไทยต้องเผชิญคือ การบังคับใช้ และ ต้นทุนการผลิตที่ยังคงสูง
ปัจจุบัน SAF มีราคาสูงกว่าน้ำมันปกติถึงประมาณ 3 เท่า การใช้ SAF ในปริมาณเริ่มต้นเพียง 1% เทียบเท่ากับปริมาณ 29 ล้านลิตร ดังนั้นหากมีการใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลง
ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ SAF ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการดำเนินงานของสายการบิน ทำให้สายการบินต้องพิจารณาแนวทางการแยกต้นทุนรายการค่าธรรมเนียมคาร์บอน (Carbon Surcharge) ในเส้นทางบินระหว่างประเทศตามความสมัครใจของสายการบิน คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ปี 2569
โดย CAAT มีหน้าที่ในการกำกับดูแลให้สายการบินที่ให้บริการในเส้นทางระหว่างประเทศ ต้องแยกรายการค่าธรรมเนียมคาร์บอน (carbon surcharge) ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ในรายละเอียดบัตรโดยสาร
อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นนี้ต้องสมเหตุสมผล และการที่ผู้โดยสารต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นเล็กน้อยนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดมลพิษในอากาศและลดภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดประโยชน์ในทางอ้อมต่อทุกคนในระบบนิเวศนี้ เพราะ SAF ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 80% หากเทียบกับน้ำมันปกติ
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การใช้ SAF ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น เนื่องจากสามารถช่วยลดคาร์บอนได้มากถึง 80% ปัจจุบันการบินไทยมีการใช้ SAF อยู่แล้วประมาณ 1% ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศปลายทาง เช่น ฝรั่งเศสและสวีเดน และในปี 2568 การใช้ SAF ในยุโรปจะขยายเป็น 2%
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ นายกสมาคมสายการบินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า 6 สายการบินสมาชิกของสมาคม เห็นพ้องในการร่วมมือสนับสนุน CAAT ในการใช้ SAF ความร่วมมือนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานร่วมกันในระยะยาว ที่จะต้องมีการพัฒนาแหล่งผลิต SAF ในไทย สมาคมจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับ CAAT ในการพัฒนาการบินยั่งยืน ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการก้าวเข้าสู่ NetZero ภายในปี 2593
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,150 วันที่ 20 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ข่าวที่เกี่ยวข้อง