OR-บางกอกแอร์เวย์ส นำร่องใช้น้ำมัน SAF ผลิตในไทยครั้งแรก

07 ก.ค. 2568 | 09:13 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ค. 2568 | 09:13 น.

OR-บางกอกแอร์เวย์ส เดินหน้านำร่องใช้น้ำมัน SAF ที่ผลิตในไทยครั้งแรก มุ่งยก ระดับการบินสู่ความยั่งยืน หนุนเป้า Net Zero ของประเทศและอุตสาหกรรมการบินโลก

บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือโออาร์ (OR) ได้ดำเินการร่วมกับบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บางกอกแอร์เวย์ส (PG) นำร่องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) ที่ผลิตในประเทศไทยเป็นครั้งแรก 

ทั้งนี้ สำหรับเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ระหว่างประเทศ จาก ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไทยสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

โดยโครงการนำร่องดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังการลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) เรื่อง การซื้อน้ำมัน SAF ซึ่งผลิตโดยผู้ผลิตภายในประเทศเป็นครั้งแรกในประเทศไทย สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศของสายการบินบางกอกแอร์เวยส์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่ผ่านมา 

ซึ่งสะท้อนถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง OR และบางกอกแอร์เวย์ส เพื่อร่วมกันสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero ของประเทศและอุตสาหกรรมการบินโลก

น้ำมัน SAF ที่ใช้ในโครงการฯดังกล่าว ผลิตโดย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ซึ่งใช้กระบวนการ Co-Processing สำหรับอุตสาหกรรมการบินเป็นครั้งแรก โดยนำน้ำมันปรุงอาหารที่ใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) มาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงสะอาด ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า 

อย่างไรก็ดี บางกอกแอร์เวย์สจะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีสัดส่วน SAF 1% โดยมีปริมาณรวม 5,000,000 ลิตรสำหรับใช้ในเที่ยวบิน เส้นทางจากกรุงเทพฯ ไปยังจุดหมายปลายทางระหว่างประเทศ 

นอกจากนี้ การเติมน้ำมันนำร่องครั้งนี้ ยังถือเป็นการใช้งาน SAF สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก รวมถึงมีการออกใบรับรอง Proof of Sustainability (POS) ครบถ้วน เพื่อให้สายการบินสามารถนับรวมในการลดคาร์บอนตามกรอบของ ICAO หรือ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศได้

การใช้ SAF ที่พัฒนาขึ้นจากวัตถุดิบเหลือใช้ นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์แล้ว ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากของเสีย และเป็นต้นแบบของความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทยในการพัฒนาเชื้อเพลิงสะอาดที่ผลิตได้ในประเทศ รวมถึงรองรับการขยายสัดส่วนการใช้ SAF อย่างต่อเนื่องในอนาคต

“ความร่วมมือดังกล่าวจะยกระดับอุตสาหกรรมการบินไทย รวมถึงสะท้อนความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่ผู้นำด้านพลังงานสะอาดในภูมิภาคอย่างแท้จริง“