ในระยะสั้นมีเป้าหมายลดความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคการบินระหว่างประเทศลง 5% ภายในปี 2573 ผ่านการใช้นํ้ามันอากาศอากาศยานยั่งยืน (SAF) และเชื้อเพลิงการบินคาร์บอนตํ่าอื่น ๆ
ดังนั้น SAF จึงเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero โดยประมาณการว่า SAF สามารถช่วยลดการปล่อยมลพิษได้ประมาณ 65% ของการลดการปล่อยมลพิษที่จำเป็นสำหรับการบินเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่ง SAF จะทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของพลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมการบิน และเป็นผู้นำในการผลิตและใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ในภูมิภาค
โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่ ส่งเสริมการลดการปล่อยคาร์บอนและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการบิน สนับสนุนธุรกิจพลังงานใหม่และการลงทุน และกระตุ้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในเชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงสังเคราะห์
ทั้งนี้ ไทยมีข้อได้เปรียบหลายประการที่เอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางการผลิต SAF ไม่ว่าจะเป็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากภาคการบิน กำลังการกลั่นนํ้ามันขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพที่แข็งแกร่ง
ประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กลางการบิน โดยคาดการณ์ว่าจะรองรับเที่ยวบิน 1.4 ล้านเที่ยวบินภายในปี 2571 และ 2.1 ล้านเที่ยวบินภายในปี 2580 นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายที่จะเป็น 5 อันดับแรกของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศมากที่สุดต่อปีภายในปี 2580
การคาดการณ์ของ S&P Global Commodity Insights แสดงให้เห็นถึงการใช้งาน SAF ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยคาดว่า SAF จะมีสัดส่วน 11% ของเชื้อเพลิงการบินทั่วโลกภายในปี 2578 และความต้องการ SAF คาดว่าจะเติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย
ขณะที่การดำเนินงานของไทยเอง ภาครัฐมีนโยบายส่งเสริม SAF ที่สำคัญ 4 ประการได้แก่ 1.จัดตั้งคณะทำงาน SAF เพื่อกำหนดเป้าหมายและมาตรการนโยบายที่เหมาะสม โดยมีผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนทั้งฝั่งอุปสงค์และอุปทาน 2.มุ่งเน้นมาตรการสมัครใจในช่วงแรก ภายในปี 2569 ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะลงนามใน MOU เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการจัดหาและนำ SAF มาใช้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการศึกษาเพื่อสำรวจมาตรการภาคบังคับที่เหมาะสมและอาจนำไปใช้ในระยะต่อไป
3.จัดหา SAF ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และดอนเมืองตั้งแต่ปี 2569 : สนามบินทั้งสองแห่งเชื่อมต่อกับโครงสร้างพื้นฐานท่อส่งนํ้ามัน ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากขนส่งเชื้อเพลิง และดำเนินมาตรการสนับสนุนเพื่อสร้างระบบนิเวศ SAF ที่มีประสิทธิภาพ โดยการควบคุมคุณภาพ SAF ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล มาตรการแรงจูงใจทางการเงินสำหรับสายการบินเพื่อนำ SAF มาใช้ และความช่วยเหลือทางเทคนิคเพื่อส่งเสริมวัตถุดิบที่มีศักยภาพ
ปัจจุบันไทยมีศักยภาพในการผลิต SAF ค่อนข้างสูง จากการมีโรงกลั่นนํ้ามัน 6 แห่งทั่วประเทศ มีกำลังการผลิตรวม 1.239 ล้านบาร์เรลต่อวัน สามารถจะพัฒนาหรือต่อยอดธุรกิจมาผลิต SAF ได้ โดยทางบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ได้ลงทุนราว 8,000 ล้านบาท ในการตั้งโรงงานผลิต SAF จากนํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil) ด้วยเทคโนโลยี Stand-Alone HEFA มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 6,289 บาร์เรลต่อวัน หรือราว 1 ล้านลิตรต่อวัน
ส่วน บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ต่อยอดกระบวนการผลิตจากโรงกลั่นที่มีอยู่ ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีกำลังการผลิต SAF จากนํ้ามันปรุงอาหารใช้แล้วด้วยเทคโนโลยี Co-Processing HEFA อยู่ที่ 103 บาร์เรลต่อวัน หรือราว 16,438 ลิตรต่อวัน
ทั้งนี้ ตามร่างแผนพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2025) และร่างแผนนํ้ามัน 2025 ระบุถึงกำลังการผลิต SAF ของประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2569 จะมีกำลังผลิตที่ 0.28 ล้านลิตรต่อวัน จากการผสม SAF ในสัดส่วน 1% โดยใช้เทคโนโลยี HEFA และช่วงปี 2570-2572 กำลังผลิตจะขึ้นไปที่ 0.56 ล้านลิตรต่อวัน จากการผสม SAF ในสัดส่วน 1-2% โดยใช้เทคโนโลยี HEFA และช่วงปี 2573-2575 กำลังผลิตจะ เพิ่มขึ้นเป็น 0.80 - 1.07 ล้านลิตรต่อวัน จากการผสม SAF ในสัดส่วน 3-5% โดยเริ่มใช้เทคโนโลยี AtJ (Alcohol-to-Jet) จากการใช้เอทานอลมาเป็นวัตถุดิบเพิ่มเติม
โดยไทยเป็นผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่อันดับ 7 ของโลกในปี 2565 มีโรงงานเอทานอล 28 แห่งทั่วประเทศ มีกำลังการผลิตรวม 6.77 ล้านลิตรต่อวัน วัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล ได้แก่ กากนํ้าตาล (3.40 ล้านลิตรต่อวัน) และมันสำปะหลัง (2.09 ล้านลิตรต่อวัน)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง