การบินเป็นอุตสาหกรรมที่ยากต่อการลดการปล่อยคาร์บอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะความก้าวหน้าด้านประสิทธิภาพต้องทันกับความต้องการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าการเดินทางทางอากาศจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2042 จากประมาณ 12,000 ล้านต่อปี ทำให้เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ดูเหมือนจะยังห่างไกล
ข้อมูลล่าสุดจาก กลุ่มสิ่งแวดล้อม Transport & Environment เปิดเผยว่า การปล่อยคาร์บอนจากเที่ยวบินของสายการบินในยุโรปจะสูงกว่าระดับในปี 2019 ถึง 4% ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2025 ซึ่งเป็นหลักฐานเพิ่มเติมถึงความท้าทายในการลดคาร์บอน
มีหลายวิธีในการลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากการบิน ซึ่งบางวิธีสามารถนำมาใช้ได้แทบจะทันที เช่น การใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ให้มากขึ้นและมีคุณภาพดียิ่งขึ้น โดย SAF เป็นเชื้อเพลิงเจ็ททางเลือกที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 80% ตลอดวัฏจักรชีวิต
ส่วนวิธีอื่น ๆ จะใช้เวลานานกว่า เช่น เครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายในไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า หรือไฮโดรเจน ซึ่งมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเที่ยวบินระยะไกลและใหญ่กว่าในระยะยาว
แม้อาจมีความต้องการ SAF จากสายการบิน แต่ซัพพลายยังมีจำกัด และราคาก็มีแนวโน้มจะสูงกว่าน้ำมันเจ็ทถึงสองถึงสามเท่าจนถึงปี 2030
พอล กริฟฟิธส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสนามบินดูไบ ระบุว่า ตลาดน้ำมันเจ็ททั่วโลกมีมูลค่าราว 2.54 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี โดย SAF คิดเป็นเพียง 0.7% ของการผลิตเชื้อเพลิงทั้งหมด
เขากล่าวว่า หากการผลิต SAF เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ สองปี ก็ยังต้องใช้เวลากว่าเจ็ดปีครึ่งกว่าที่ 10% ของน้ำมันเจ็ททั้งหมดจะมาจากแหล่งที่ยั่งยืน
นี่คือปัญหาใหญ่มาก มันต้องการวิธีแก้ไขครั้งใหญ่ และต้องการการลงทุนจำนวนมหาศาล อุตสาหกรรมและรัฐบาลต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างสนามแข่งขันด้านการลงทุนที่เป็นธรรม ซึ่งไม่ให้รางวัลกับพฤติกรรมที่ไม่ดี
เขาระบุว่า หนึ่งในทางออกที่เป็นไปได้ คือ การเก็บภาษีเชื้อเพลิงการบินหรือราคาตั๋วเครื่องบิน เช่นเดียวกับโครงการที่เพิ่งเริ่มใช้ในสิงคโปร์ ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมไม่ถึง 2 ดอลลาร์ต่อผู้โดยสาร และนำเงินนั้นไปสนับสนุนการผลิต SAF
แม้จะส่งผลให้ต้นทุนที่สมเหตุสมผลถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค เขากล่าวว่า สามารถแก้ปัญหานี้ได้จริง หากนโยบายนี้ถูกนำมาใช้ในระดับโลก
ทั้งนี้ เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังได้เสนอให้เก็บภาษีน้ำมันเจ็ทที่มาจากฟอสซิล เพื่อนำไปใช้ในการผลิต SAF ภายในประเทศเช่นกัน
ความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดแนวนโยบายให้สอดคล้องกัน
การออกมาตรการและข้อกำหนดใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุน SAF จากประเทศที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของมาตรฐานสากลและความสม่ำเสมอของนโยบายเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการนำ SAF ไปใช้ทั่วโลกอย่างสม่ำเสมอ นโยบายด้าน SAF จำเป็นต้องได้รับการจัดแนวในระดับนานาชาติ และเงินอุดหนุนใด ๆ ที่จะจูงใจการผลิต SAF ต้องให้ความชัดเจนในระยะยาวแก่ผู้ลงทุน
หากประเทศต่าง ๆ ไม่ดำเนินการสอดคล้องกันในประเด็นเหล่านี้ ประสิทธิผลของนโยบายก็จะลดลง
อาเยชา เชาดูรี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของบริษัท Infinium ผู้นำตลาดเชื้อเพลิงสังเคราะห์คาร์บอนต่ำพิเศษ กล่าวว่า ความแน่นอนด้านนโยบายคือหัวใจสำคัญ รายได้ที่คาดการณ์ได้ซึ่งเกิดจากความแน่นอนด้านนโยบาย มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ซื้อที่จะสามารถทำข้อตกลงระยะยาวที่จำเป็นในการสร้างโรงงานผลิต
ความเสี่ยงที่สำคัญคือ อุปสรรคทางภูมิรัฐศาสตร์สามารถชะลอความพยายามลดคาร์บอนของอุตสาหกรรมการบินได้ การปกป้องการค้ารูปแบบใหม่และภาษีศุลกากรกำลังสร้างความกังวลเป็นพิเศษในหมู่ผู้บริหารในอุตสาหกรรมการบิน
ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังทำให้การส่งออกวัตถุดิบ (feedstock) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต SAF สั่นคลอน ตลอดจนก่อให้เกิดความกังวลด้านความมั่นคงพลังงานภายในประเทศ
ด้วยห่วงโซ่อุปทานที่อยู่ภายใต้ความกดดัน ราคาวัตถุดิบจึงเพิ่มขึ้น ซึ่งยิ่งบีบกำไรของโรงงาน SAF ที่กำลังดำเนินงาน และกระทบต่อแนวโน้มการผลิตของพวกเขา
นอกจากความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้วที่อาจเปลี่ยนลำดับความสำคัญของรัฐบาลและนำไปสู่การย้อนนโยบายแล้ว ยังมีความเสี่ยงทางเศรษฐกิจด้วย แม้เงินเฟ้อลดลงและการเติบโตของภาคการบินแข็งแกร่ง โดยรายได้ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปีนี้ แต่มุมมองเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นประเด็นที่น่ากังวลสำหรับผู้บริหารอุตสาหกรรมการบิน โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่
อ้างอิงข้อมูล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง