In Brief
ประเทศร่ำรวยเริ่มหมดความกระตือรือร้นในการต่อสู้กับวิกฤติภูมิอากาศ ขณะที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านการผลิตและการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด อังเดร กอร์เรอา ดู ลาโก ประธานการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP30) กล่าว
ดู ลาโก นักการทูตชาวบราซิลซึ่งเป็นประธานการประชุม COP30 กล่าวว่า หลายประเทศควรเดินตามแนวทางของจีน แทนที่จะบ่นเรื่องการแข่งขันที่เสียเปรียบ
ในทางหนึ่ง ความกระตือรือร้นที่ลดลงของประเทศในซีกโลกเหนือ กำลังสะท้อนให้เห็นว่าซีกโลกใต้กำลังเคลื่อนไหว ไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่เคลื่อนไหวมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับการจับตามากเท่าตอนนี้
เขายังชี้ถึงจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก และในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงานคาร์บอนต่ำรายใหญ่ที่สุดของโลกด้วย จีนกำลังนำเสนอโซลูชันที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ไม่ใช่แค่สำหรับจีนเท่านั้น
แผงโซลาร์เซลล์มีราคาถูกลงและสามารถแข่งขันได้อย่างมากเมื่อเทียบกับพลังงานจากฟอสซิล ทำให้ตอนนี้มีอยู่ทั่วไป หากมองในมุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นี่เป็นเรื่องดี
รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจาก 194 ประเทศอยู่ระหว่างร่วมกันวางแผนในการประชุม COP30 เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสตามข้อตกลงปารีส กำหนดแผนการยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และจัดให้ประเทศยากจนได้รับความช่วยเหลือที่จำเป็น
หัวข้อสำคัญที่สุดในวาระการประชุมคือ “แผนระดับชาติว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ซึ่งตามการคาดการณ์ปัจจุบันจะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นถึง 2.5 องศาเซลเซียส ประเทศที่มีความเปราะบางต้องการจัดทำแผนใหม่เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ เพิ่มความพยายามเกินกว่าที่ได้ให้คำมั่นไว้และบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีส
อิลานา เซอิด (Ilana Seid) เอกอัครราชทูตของประเทศปาเลา ประจำสหประชาชาติ และโฆษกของกลุ่มพันธมิตรประเทศเกาะเล็ก (Alliance of Small Island States: AOSIS) กล่าวว่า การกำหนดเส้นทางระดับโลกเพื่อการลดการปล่อยที่ลึกขึ้นถือเป็นหัวใจสำคัญ
ฝ่ายเจ้าภาพบราซิลมุ่งเน้นในเรื่องการปฏิบัติจริง ซึ่งหมายถึงการดำเนินการตามพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้แล้ว เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพิ่มพลังงานหมุนเวียนเป็นสามเท่าภายในปี 2030 และการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานเป็นสองเท่า แต่ทาง AOSIS ต้องการให้ก้าวไปไกลกว่านั้น โดยเตือนว่าหากไม่มีนโยบายเร่งลดการปล่อยก๊าซเป้าหมาย 1.5 องศาจะสูญสิ้นไป
ทั้งนี้ ประเทศยากจนยังต้องการหลักประกันว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือตามที่ให้คำมั่นไว้ เพื่อปกป้องตนเองจากผลกระทบของการล่มสลายทางภูมิอากาศ นอกจากนี้ แผนการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลก็จะเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญในการหารือ
ขณะเดียวกัน The Guardian เปิดเผยว่า หนึ่งในคำมั่นสำคัญด้านสภาพภูมิอากาศกำลังถูกบ่อนทำลาย ตั้งแต่การประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ในปี 2021 สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และประเทศอื่น ๆ ได้ร่วมกันจัดทำ “Global Methane Pledge” เพื่อให้ลดการปล่อยก๊าซมีเทนลง 30% ภายในปี 2030 และมี 159 ประเทศเข้าร่วมลงนามในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ดาวเทียม Kayrros ชี้ว่า การปล่อยก๊าซจากบางประเทศผู้ลงนามหลักกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอีก โดยรวมแล้ว การปล่อยก๊าซของหกประเทศผู้ลงนามรายใหญ่ ได้แก่ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย คูเวต เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน และอิรัก เพิ่มขึ้น 8.5% จากระดับปี 2020
คูเวตและออสเตรเลียมีความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซ แต่การปล่อยจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ กลับเพิ่มขึ้น 18%
ขณะที่ มีเทนซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีพลังทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า และเป็นสาเหตุของความร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงหลังประมาณหนึ่งในสาม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีประเทศใดดำเนินการในระดับที่เพียงพอ