In Brief
ทุกปี เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เมืองไทยก็เข้าสู่ “ฤดูฝุ่น” ไปพร้อมกัน จากเสียงของภาคประชาชนในปี 2562 สู่วันที่ 21 ตุลาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติ “ผ่านร่าง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด” หรือ “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” ในวาระที่ 3 ด้วยเสียงเห็นชอบ 309 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง และไม่ลงคะแนน 5 เสียง โดยไม่มีเสียงคัดค้าน ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย ท่ามกลางปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่ยืดเยื้อมานานและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในเมืองใหญ่และภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง
ในสัปดาห์สุดท้ายก่อนวันปิดสมัยประชุม 31 ตุลาคม 2568 ร่างกฎหมายที่ถูกภาคประชาชนเฝ้ารอมานานกว่า 5 ปี กำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ
"รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช" อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า หลังผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตรวจสอบเอกสารและส่งให้วุฒิสภาพิจารณาในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมวันที่ 31 ตุลาคมนี้ เมื่อร่างกฎหมายเข้าสู่วุฒิสภา จะมีการตั้งคณะกรรมาธิการของฝ่าย ส.ว. เพื่อพิจารณาทบทวนร่างดังกล่าว โดยตามกระบวนการจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน หากจำเป็นอาจขยายได้อีก 15 วัน ขึ้นอยู่กับความเร็วของการทำงานของวุฒิสภา
รศ.ดร.วิษณุ กล่าวอีกว่า หากเริ่มกระบวนการได้ตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งถือว่าเร็วมากก็จะสามารถเดินหน้าการทำงานของคณะกรรมาธิการได้ทันในช่วงเปิดสมัยประชุม และสามารถเสนอร่างเข้าสู่วุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อเนื่องได้ทันที
แต่หากมีการตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างสองสภา อาจทำให้กระบวนการยืดออกไปถึงเดือนมกราคม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายกังวล เพราะหากมีการยุบสภาก่อน ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่การยกร่างจนถึงการพิจารณาในแต่ละวาระ
แม้รัฐบาลชุดใหม่อาจเห็นชอบให้ใช้ร่างเดิมได้ แต่ก็ต้องรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และหากเกิดการยุบสภาแล้วมีรัฐบาลรักษาการ กระบวนการทั้งหมดจะล่าช้าออกไปอีกไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี จนไม่แน่ใจว่าร่างฉบับนี้จะกลับมาได้หรือไม่ ขณะเดียวกัน หากทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรคหรือการตีตกกลางทางก็มีโอกาสที่จะพิจารณาทันภายในเดือนธันวาคม
สิ่งที่กังวลคือมันยุบสภาก่อนหรือไม่ ถ้ายุบสภาทุกอย่างนับ 1 ใหม่หมดเลย แล้วก็กลับมาเป็นยกร่าง 1 ใหม่เลย พิจารณากันใหม่ทุกอย่าง ยกเว้นว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเห็นด้วยกับร่างเดิม แต่สุดท้ายก็ต้องรอนายกใหม่ ยุบสภาแล้วรักษาการกว่าจะได้เลือกตั้ง ดีเลย์ไปอีกปีกว่า
มุมของภาคประชาชน ความหวังจึงอยู่ที่ “ความเร็วและเจตนา” ของ ส.ว. หากพิจารณาเร็วพอ กฎหมายอาจประกาศใช้ได้ทันช่วง “หน้าฝุ่น” ซึ่งจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่รอคอยกันมานาน
เราก็คงต้องชี้เเจงด้วยข้อมูลเชิงวิชาการ อยากให้ ส.ว. พิจารณาด้วยเหตุและผล อย่างเรื่องกองทุนอากาศสะอาด ถ้าไม่เอาแล้วจะเอาอะไรแทนจะกลับไปใช้กองทุนสิ่งแวดล้อมเดิมไหม แล้วมั่นใจได้ไหมว่าประชาชนจะได้อากาศสะอาดจริง ถ้าหัวใจคือประชาชน ต้องเริ่มจากการยอมรับว่า มลพิษคือปัญหาที่ต้องแก้อย่างจริงจัง
รศ.ดร.วิษณุ อธิบายว่า หากวุฒิสภามีการแก้ไขในสาระสำคัญ เช่น การตัด “กองทุนอากาศสะอาด” หรือปรับบทบัญญัติเรื่อง “การกระจายอำนาจ” ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานแทนนายก อบจ. อีกประเด็นที่คาดว่าจะมีการถกเถียง คืออำนาจของ “เจ้าพนักงานอากาศสะอาด” ซึ่งบางฝ่ายมองว่ามีอำนาจมากเกินไป
ถ้าสมมุติว่าท่าน ส.ว.อยากจะแก้ หลายมาตราใดๆ ที่เป็นสาระสำคัญหลัก ที่ยอมกันไม่ได้ เช่น อาจจะมีบางมาตราที่ทางภาคประชาชนเองกังวล เช่น กองทุนอากาศสะอาดอาจจะมีการเสนอให้ตัดออกเหมือนเดิมหรือไม่อย่างในชั้น ส.ส. ที่ผ่านมา มีกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ก็อยากจะเอาออกหรือในเรื่องของการกระจายอำนาจ ที่มีการถกเถียงกันเยอะ
ประเด็นนี้สะท้อนแก่นสำคัญของกฎหมายทั้งฉบับ ระหว่าง 'อำนาจจากส่วนกลาง' กับ 'อำนาจจากประชาชนในพื้นที่'
รศ.ดร.วิษณุ อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นการกระจายอำนาจว่า การกำหนดให้ นายก อบจ. เป็นประธานแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ก็เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมาก ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นการกระจายอำนาจ อีกฝ่ายมองว่าควรคงอำนาจไว้ส่วนกลาง
ผู้ว่าอยู่แค่ไม่กี่เดือน ประชาชนให้คุณให้โทษไม่ได้ แต่ถ้าเป็นนายก อบจ. ที่ประชาชนเลือก เขาผูกพันกับพื้นที่ ทำดีไม่ดี ประชาชนก็ตัดสินได้เอง
ขอให้ ส.ว. คิดถึงประโยชน์ประชาชน
เเม้ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ฉบับนี้ผ่านการทบทวนข้อมูลจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ศึกษาตัวอย่างจากต่างประเทศ และออกแบบเพื่อให้ประเทศไทยมี “เครื่องมือทางกฎหมาย” ที่ใช้ได้จริง แต่ รศ.ดร.วิษณุ ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ว่ายังมีแรงต้านจากผู้ก่อมลพิษรายใหญ่บางรายที่มองว่ากฎหมายนี้คือ “ต้นทุน”
ผมอยากให้เขาเปลี่ยนมุมมอง จากต้นทุนเป็นการลงทุน เพราะสุดท้ายสินค้าที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็ขายไม่ได้อยู่ดี ด้วยหลักเศรษฐศาสตร์ง่าย ๆ ว่า Cost of inaction การไม่ทำอะไรเลย ก็มีต้นทุนเหมือนกัน ถ้าคุณไม่เปลี่ยนผ่าน แต่ประเทศอื่นเปลี่ยน คุณก็จะขายสินค้าไม่ได้ กำไรก็หายไปเอง
เชื่อมโยงเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว อากาศสะอาดคือจุดขายของประเทศ
ในทางกลับกัน หากกฎหมายนี้ออกมาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวหรือภาษี มันอาจกลายเป็น “จุดขาย” ให้ประเทศไทยมีจุดขายด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนขึ้น
ฝุ่นน้อย เมืองน่าอยู่ นักท่องเที่ยวรายได้สูงก็อยากมา โดยเฉพาะกลุ่มเวลเนสที่ต้องการอากาศดี ร่างนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือเรื่องเศรษฐกิจด้วย เราไม่ได้อยากให้กฎหมายนี้ผ่านแค่บนกระดาษ แต่อยากให้มีเขี้ยวเล็บที่ช่วยให้คนไทยได้หายใจสะอาดจริง ๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง