net-zero

โลกทำลายสถิติความร้อน 5 ปีติดต่อกัน พื้นผิวโลก 7% ร้อนสุดในประวัติการณ์

In Brief

  • โลกเผชิญกับภาวะอุณหภูมิร้อนทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันนับตั้งแต่ปี 2019
  • ข้อมูลล่าสุดระบุว่ากว่า 7% ของพื้นผิวโลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ตอกย้ำแนวโน้มโลกร้อน
  • ในช่วงเวลาเดียวกัน พื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำสุดเป็นประวัติการณ์กลับลดลงเหลือไม่ถึง 1% ของพื้นผิวโลก
  • ปรากฏการณ์เอลนีโญถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เร่งให้เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงในหลายภูมิภาคทั่วโลก

รายงานล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลสิ่งแวดล้อมแห่งชาติสหรัฐฯ (NOAA) ผ่านฐานข้อมูล Statista เผยว่า เดือนพฤษภาคม ปี 2025 เป็นหนึ่งในเดือนที่ “ร้อนที่สุดในประวัติการณ์” โดยกว่า 7.1% ของพื้นผิวโลก มีอุณหภูมิสูงสุดจน “ทำสถิติใหม่” ซึ่งตอกย้ำแนวโน้มโลกร้อนที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานกว่า 5 ปี

NOAA ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา โลกเข้าสู่ภาวะ “ความร้อนทำนิวไฮ” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปี 2023 ที่ 20% ของพื้นผิวโลก มีอุณหภูมิสูงสุดในรอบประวัติศาสตร์ ทำให้ถูกบันทึกเป็น “ปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ขณะที่ปี 2024-2025 ยังพบพื้นที่กว่า 7% ของโลกที่ทำลายสถิติความร้อนรายเดือนใหม่อย่างต่อเนื่อง

 

ในทางกลับกัน พื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำสุดในรอบปี หรือ “หนาวสุดในประวัติการณ์” กลับลดลงอย่างมาก เหลือต่ำกว่า 1% ของพื้นผิวโลกติดต่อกันนานถึง 5 ปี ซึ่งถือเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลของภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

นักอุตุนิยมวิทยาชี้ว่า ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ที่เกิดขึ้นในปี 2023–2024 เป็นหนึ่งในปัจจัยเร่งให้โลกเผชิญ “คลื่นความร้อน” หลายภูมิภาค ทั้งเอเชีย ยุโรป แอฟริกา และอเมริกาเหนือ โดยมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อภาคเกษตร การผลิตพลังงาน และต้นทุนดำเนินชีวิตของประชาชนทั่วโลก

รายงาน NOAA ยังเตือนว่า โลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ “ยุคสภาพอากาศสุดขั้ว” (Climate Extremes) ที่ไม่เพียงเพิ่มความรุนแรงของภัยธรรมชาติ แต่ยังเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ตั้งแต่ระบบประกันภัย ภาคพลังงาน ไปจนถึงความมั่นคงทางอาหารของหลายประเทศ 

โลกทำลายสถิติความร้อน 5 ปีติดต่อกัน พื้นผิวโลก 7% ร้อนสุดในประวัติการณ์