In Brief
การเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมาย Net Zero ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีหรือเงินลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวพันกับ “เสถียรภาพทางนโยบาย” โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ประสบการณ์จากหลายประเทศชี้ตรงกันว่า ความไม่ต่อเนื่องของนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศก่อให้เกิดต้นทุนทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งต่อการลงทุน ความสามารถในการแข่งขัน และความเชื่อมั่นของตลาด
หลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ส่งแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย หนึ่งในร่างกฎหมายที่ถูกจับตามากที่สุด คือ ร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านวาระที่ 3 ด้วยคะแนนเอกฉันท์ 309 เสียง เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 กระบวนการพิจารณาในชั้นวุฒิสภายังไม่แล้วเสร็จ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้ขอขยายเวลาการพิจารณาออกไปอีก 30 วัน จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2569
ขณะที่ ร่างพระราชบัญญัติการรายงานการปล่อยและการเคลื่อนย้ายสารมลพิษ (PRTR) ซึ่งเป็นกฎหมายด้านความโปร่งใส ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการในชั้นรายมาตราแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 แต่ไม่ทันนำเข้าสู่การลงมติของสภาผู้แทนราษฎรก่อนการยุบสภา
ด้านร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ภายหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักการเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568
อย่างไรก็ตาม การยุบสภาส่งผลให้แรงผลักดันเชิงการเมืองหยุดชะงัก ทำให้การผลักดันร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต้องเลื่อนออกไป พร้อมกันนี้ เครื่องมือสำคัญอย่างระบบกำหนดราคาคาร์บอน ทั้งระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และภาษีคาร์บอน มีแนวโน้มล่าช้า ซึ่งส่งผลต่อการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับกลไกปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่จะเริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2026
ความล่าช้าดังกล่าวยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยตาม NDC 3.0 ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยลง 47% ภายในปี 2573 และการเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย Net Zero ปี 2050 ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและต่อเนื่องรองรับ
ออสเตรเลียในปี 2014 มักถูกยกเป็นตัวอย่างของต้นทุนทางเศรษฐกิจจากการกลับลำนโยบายคาร์บอน หลังรัฐบาลใหม่ยกเลิกกลไกกำหนดราคาคาร์บอน การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนของประเทศลดลงถึง 35% ในขณะที่การลงทุนด้านพลังงานสะอาดทั่วโลกในปีเดียวกันกลับเพิ่มขึ้น 16% ความแตกต่างดังกล่าวสะท้อนชัดว่า นักลงทุนตอบสนองต่อความไม่แน่นอนเชิงนโยบายอย่างรุนแรง แม้ประเทศนั้นจะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจและทรัพยากรสูงก็ตาม
สหรัฐอเมริกา ความเสี่ยงไม่ได้มาในรูปของการยกเลิกกฎหมายโดยตรง แต่เกิดจากการเปลี่ยนทิศทางการบริหาร การผ่อนคลายมาตรฐาน และการชะลอการอนุญาตโครงการพลังงานสะอาด ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับโครงการลงทุน โดยเฉพาะโครงการที่อ่อนไหวต่อการกำกับดูแล แม้กฎหมายหลักด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานจะยังคงอยู่ แต่ความไม่แน่นอนด้านการบังคับใช้กลับทำให้ต้นทุนทางการเงินและความเสี่ยงของนักลงทุนเพิ่มขึ้น
แคนาดา เผชิญความท้าทายจากความขัดแย้งเชิงอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับมณฑล ทำให้การบังคับใช้นโยบายราคาคาร์บอนไม่เป็นเอกภาพ ขณะที่ฝรั่งเศสต้องเผชิญแรงต้านจากประชาชนจากนโยบายภาษีคาร์บอนในช่วงค่าครองชีพสูง จนรัฐบาลต้องระงับมาตรการและกลับไปเริ่มกระบวนการนโยบายใหม่ทั้งหมด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง