“คนละครึ่ง เฟส 2” ส่อชะงัก กกต.แจ้งยึดเกณฑ์ได้เปรียบเสียเปรียบ

15 ธ.ค. 2568 | 13:11 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ธ.ค. 2568 | 13:20 น.

โครงการ “คนละครึ่ง เฟส 2” ส่อชะงัก กกต.แจ้งยึดเกณฑ์ได้เปรียบเสียเปรียบ มั่นใจพื้นที่สู้รบบริหารจัดการได้ไม่เลื่อนวันเลือกตั้ง

KEY

POINTS

  • กกต. ส่งสัญญาณอาจไม่อนุมัติโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” ของรัฐบาลรักษาการ
  • กกต.ชี้ว่าโครงการดังกล่าวอาจเข้าข่ายการสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบในการเลือกตั้ง ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ
  • การพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 ที่จำกัดอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง

วันนี้(15 ธ.ค.68 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการหารือของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับ ผู้แทนรัฐบาล ช่วงกลางวันที่ผ่านมา ในเรื่องการขออนุญาตใช้งบประมาณนั้น ในส่วนของโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2”  กกต.ยืนยันว่า ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ มาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะในเรื่องการดำเนินโครงการนั้น ก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันเลือกตั้งหรือไม่ แต่หากเป็นการโครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ หรือ การปูนบำเหน็จให้กับทหารชายแดนเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการ และได้ดำเนินการมาก่อนแล้ว ก็สามารถทำต่อไปได้

สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 169 กำหนดให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ทั้งนี้ ต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้

- ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการหรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปเว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี

- ไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทนเว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน

- ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน
 

- ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้งและไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

ส่วนในเรื่องของการจัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ทางกกต. แจ้งกับทางตัวแทนรัฐบาลว่า หากจะจัดให้มีการทำประชามติในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส.  จำเป็นจะต้องมีเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน จนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อให้ กกต. นำประเด็นที่จะทำประชามติไปเผยแพร่ทำความเข้าใจกับประชาชน

ส่วนเรื่องการจัดการเลือกตั้งในสถานการณ์ที่มีการสู้รบขณะนี้กกต.ยืนยันว่า จะสามารถจัดการเลือกตั้งตามแผนที่วางไว้ได้ โดยขณะนี้ทางสำนักงานดำเนินการสำรวจว่า ในจังหวัดที่มีการสู้รบนั้นกระทบต่อการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดบ้าง
และเชื่อว่าสามารถใช้วิธีบริหารจัดการ  พาคนไปหาหน่วยเลือกตั้งได้ โดยไม่จำเป็นต้องเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป เพราะการเลื่อนการเลือกตั้งทั้งประเทศ น่าจะไม่เป็นผลดีทั้งกับ กกต.และ รัฐบาล โดยกกต. อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้อต่อรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลเองก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้ กกต. เป็นเครื่องมือ

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้จำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเบื้องต้นอยู่ที่ 53,052,847 คน แบ่งเป็นชาย 25,454,342 คน เป็นหญิง 27,598,505 คน