In Brief
การประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล ไม่ได้เป็นเพียงเวทีเจรจาเรื่องโลกร้อนระดับโลกเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นเวทีที่กำหนดกติกาเศรษฐกิจยุคใหม่ เพราะทุกข้อตกลงด้านสภาพภูมิอากาศในวันนี้ กำลังถูกแปลงไปเป็นมาตรฐานการค้า การเงิน และการลงทุนของอนาคต
สำหรับประเทศไทย การมีแผน NDC 3.0 และการขยับเป้า Net Zero มาเป็นปี 2050 ถือเป็นก้าวที่สำคัญและทันสมัยขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต ทว่าเมื่อมองจากสัญญาณที่ออกมาจาก COP30 จะเห็นชัดว่าแค่ทำตามแผนที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ หากไทยต้องการเปลี่ยนวิกฤติภูมิอากาศให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
สิ่งที่ต้องเร่งคือการทำให้ตลาดคาร์บอนภายในประเทศเกิดขึ้นจริง มีขนาดใหญ่ โปร่งใส และเชื่อมโยงกับมาตรฐานโลกได้ การออก พ.ร.บ. ลดโลกร้อนให้เสร็จและรองรับการจัดสรรสิทธิปล่อยคาร์บอน (ETS) การจัดเก็บภาษีคาร์บอน และการรับรองคาร์บอนเครดิตอย่างโปร่งใสจึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญ
หากไทยสามารถเชื่อมตลาดในประเทศเข้ากับเครือข่ายอย่าง Open Coalition on Compliance Carbon Markets ได้ ก็จะเปิดทางให้เครดิตจากป่าชุมชน และโครงการสีเขียวของไทยกลายเป็นสินทรัพย์ที่ขายได้จริงบนเวทีโลก ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงาน
นอกเหนือจากตลาดคาร์บอน สิ่งที่บทเรียนจากเวที COP และประเทศอื่นสะท้อนชัดคือ ความสำเร็จของการมุ่งสู่ Net Zero ไม่ได้ขึ้นกับความรํ่ารวยของประเทศเท่านั้น แต่ขึ้นกับวิธีคิดและโครงสร้างนโยบาย สวีเดน เดนมาร์ก ชิลี และคอสตาริกา ล้วนมีกฎหมายภูมิอากาศที่ผูกพันรัฐบาลทุกชุด มีเป้าระยะกลางชัดเจน มีคณะกรรมการอิสระตรวจสอบ และเปิดพื้นที่ให้ท้องถิ่นกับภาคประชาชนเข้ามาร่วมตัดสินใจ ซึ่งไทยเองก็ควรผลักดันให้มีสิ่งเหล่านี้
สำหรับการประชุม COP หรือ Conference of the Parties ถือเป็นเวทีที่ประเทศต่าง ๆ ใช้เจรจากำหนดกติกาโลก ตั้งแต่การจำกัดอุณหภูมิโลก การกำหนดเป้าลดก๊าซ (NDCs) การจัดตั้งกองทุนช่วยประเทศกำลังพัฒนา ไปจนถึงกลไกตลาดคาร์บอน COP30 มีความพิเศษเป็นพิเศษเพราะเป็นวาระครบรอบ 10 ปีของความตกลงปารีส ทุกประเทศจึงถูกกดดันให้ส่ง NDCs รอบใหม่ที่ต้องมีเป้าหมายสูงขึ้น
หนึ่งในประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดบนเวทีปีนี้คือ “การเงินสีเขียว” และการปฏิรูประบบการเงินภูมิอากาศ Baku to Belém Roadmap ถูกเสนอให้เป็นแผนแม่บทในการระดมทุนอย่างน้อย 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นให้ธนาคารพหุภาคีและกองทุนต่าง ๆ ปรับพันธกิจ หันมาใช้เครื่องมือการเงินแบบดอกเบี้ยตํ่าหรือลดความเสี่ยงมากขึ้น ควบคู่กับการผลักดันมาตรการเก็บ “solidarity levies” หรือภาษีจากภาคส่วนที่ปล่อยก๊าซมาก ไม่ว่าจะเป็นการบิน การเดินเรือ ภาคการเงิน หรือธุรกรรมดิจิทัล
สำหรับประเทศไทย ประเด็นนี้สำคัญกว่าที่คิด เพราะไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีสิทธิขอรับการสนับสนุนจากกองทุนภูมิอากาศต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกกดดันจากมาตรการทางการค้าใหม่ ๆ เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป และมาตรฐาน Net Zero ของบริษัทข้ามชาติและประเทศ OECD หากไทยไม่เร่งอัปเกรดโครงสร้างด้านนโยบาย การเงิน และข้อมูลคาร์บอนให้สอดคล้องกับสถาปัตยกรรมใหม่ที่กำลังถูกออกแบบใน COP30 ไทยอาจกลายเป็นเพียงผู้รับผลกระทบเชิงลบ แทนที่จะใช้เวทีนี้เป็นโอกาสต่อรองให้ได้ทั้งเงิน เทคโนโลยี และสถานะใหม่ในห่วงโซ่อุปทานสีเขียว
วันนี้โครงสร้างการเงินสีเขียวใหม่ที่กำลังถูกออกแบบใน COP30 เปิดโอกาสให้ไทยเข้าไปอยู่ในห้องออกแบบดีลและดึงเงินทุนจำนวนมาก ถ้าไทยมีแผนที่ชัดเจนว่าต้องการเงินไปทำอะไร มีโครงการที่พร้อมลงทุน และมีข้อมูลคาร์บอนที่น่าเชื่อถือ ไทยสามารถใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างนโยบายด้านภูมิอากาศกับการดึงดูดทุนต่างชาติ 230,000 ล้านบาทหรือมากกว่านั้นให้ไหลเข้ามาในระบบจริงได้
ขณะเดียวกัน การพัฒนา taxonomy การเงินยั่งยืนของไทยให้เทียบเคียงมาตรฐานต่างประเทศได้ จะช่วยให้ธนาคารไทย นักลงทุนไทย และธุรกิจไทยเข้าถึงต้นทุนเงินที่ถูกลงในระยะยาวด้วย
ท้ายที่สุด การอ่านเวที COP30 จึงไม่ควรจบลงแค่การสรุปข่าวว่ามีข้อตกลงอะไรใหม่ หรือไทยประกาศอะไรบนเวทีบ้าง แก่นสำคัญคือการมองให้เห็นว่าโลกกำลังจัดระเบียบเศรษฐกิจใหม่บนฐานของคาร์บอนตํ่าอย่างไร และไทยจะวางตัวเองตรงไหนในระเบียบใหม่นี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง