In Brief
ทองคำมีบทบาทหลากหลาย ตั้งแต่ถูกนำมาใช้ทำเครื่องประดับมานานหลายพันปี ไปจนถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ นอกจากนี้ ทองคำยังทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่า จึงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน จากการประเมินในปัจจุบัน ทองคำถูกขุดขึ้นมาแล้วประมาณ 216,265 ตันตลอดประวัติศาสตร์ โดยราวสองในสามของปริมาณทั้งหมดถูกสกัดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ส่วนปริมาณสำรองใต้ดินที่ยังไม่ได้ขุด คาดว่ามีประมาณ 54,770 ตัน
ทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองสำคัญ
ทองคำเคยเป็นองค์ประกอบหลักของระบบการเงินโลก เริ่มจากการใช้เป็นเงินสินค้า ก่อนที่แต่ละประเทศจะผูกค่าของสกุลเงินกับทองคำภายใต้ระบบมาตรฐานทองคำ และต่อมาในระบบเบรตตันวูดส์
แม้ความสำคัญของทองคำลดลงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ยังคงมีบทบาทโดดเด่น ซึ่งแสดงปริมาณทองคำที่ถือครองอยู่ในงบดุลของธนาคารกลางทั่วโลก ทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองที่สำคัญอันดับสามรองจากดอลลาร์สหรัฐและยูโร
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา พบว่าราคาสินทรัพย์ลงทุนหลายประเภทมักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้นเมื่อความไม่แน่นอนในตลาดเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ทองคำมีความสัมพันธ์ต่ำกับสินทรัพย์การเงินอื่น (โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวน) ซึ่งสนับสนุนแนวคิดว่าทองคำสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนได้ในระยะกลางถึงยาว
การศึกษาจากงานวิจัยเชิงประจักษ์หลายชิ้น บางการศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างราคาทองคำกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์หรือแรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ขณะที่บางส่วนชี้ว่าทองคำอาจใช้ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ไม่คาดคิดได้
ทองคำมีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ไม่ขึ้นกับผู้ออกตราสาร หมายความว่าเป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่าที่แทบไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต อีกทั้งราคาทองคำมักปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ตลาดเผชิญความตึงเครียด เมื่อพิจารณาเหตุการณ์วิกฤตที่ผ่านมา เช่น วิกฤต Lehman Brothers วิกฤตหนี้ยุโรป Brexit โควิด-19 และสงครามรัสเซีย–ยูเครน
คุณสมบัติเหล่านี้อาจมีน้ำหนักมากกว่าปัจจัยลบอื่น ๆ เช่น การที่ทองคำไม่ให้ดอกเบี้ย มีความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสูงเมื่อเทียบกับพันธบัตร และสภาพคล่องที่อาจต่ำกว่า ซึ่งอธิบายได้ถึงความสนใจใหม่ของธนาคารกลางที่เพิ่มขึ้น
นักลงทุนในปัจจุบันมักผสมผสานเป้าหมายผลตอบแทน-ความเสี่ยงแบบดั้งเดิมเข้ากับวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่ด้านการเงิน ซึ่งสะท้อนผ่านความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อการลงทุนอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ (SRI)
ความต้องการทองคำโดยทั่วไปถูกกำหนดโดยปัจจัยเชิงกลยุทธ์และการเงิน ขณะที่การซื้อทองคำของธนาคารกลางมักขับเคลื่อนด้วยคุณสมบัติของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและช่วยกระจายพอร์ต ในหลายฉากทัศน์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ความเสี่ยงเงินเฟ้อ ภาวะหยุดชะงักของการผลิตเกษตร การชะลอตัวของจีดีพี และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน ทองคำอาจยิ่งดึงดูดนักลงทุนมากขึ้น
ผลกระทบของอุตสาหกรรมทองคำต่อสภาพภูมิอากาศ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากมุมมองการผลิต
กระบวนการผลิตทองคำมี 4 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การทำเหมือง การบดแร่ การหลอม และการกลั่น โดยแต่ละขั้นตอนก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ซึ่งลักษณะการปล่อยจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน แต่ขั้นตอนการแยกทองคำออกจากแร่ (การบดแร่) เป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในห่วงโซ่คุณค่า
โดยรวมแล้ว อุตสาหกรรมทองคำปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีประมาณ 120–130 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ประมาณ 80% ของการผลิตมาจากบริษัทเหมืองจดทะเบียนที่ใช้เทคโนโลยีขนาดใหญ่ ส่วนที่เหลือมาจากเหมืองขนาดเล็กและการทำเหมืองชุมชน
ประเทศผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุด ได้แก่ จีน รัสเซีย และออสเตรเลีย ซึ่งรวมกันคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของการผลิตทองคำทั่วโลก
ทั้งนี้ แหล่งพลังงานที่ก่อมลพิษยังคงมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพลังงานของประเทศเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ต่างจากอุตสาหกรรมหนักบางประเภท เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และปุ๋ย ที่ลดการปล่อยได้ยาก การลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมทองคำสามารถทำได้ง่ายกว่าในเชิงเทคโนโลยี เช่น การติดตั้งแหล่งพลังงานหมุนเวียน ดังนั้น คาดว่าการปล่อยก๊าซจะลดลงในอนาคตเมื่อสัดส่วนพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากมุมมองนักลงทุน
นักลงทุนมักประเมินสินทรัพย์ทางการเงินทั่วไป (เช่น หุ้นและพันธบัตร) ด้วย “อัตราความเข้มข้นคาร์บอน” ซึ่งคำนวณจากอัตราส่วนระหว่างปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีจากการผลิต กับรายได้หรือมูลค่าเพิ่มของบริษัทหรือภาคอุตสาหกรรมนั้น ตัวชี้วัดนี้สะท้อนประสิทธิภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากมุมสิ่งแวดล้อม และมักใช้เป็นตัวแทนของ “ความเสี่ยงการเปลี่ยนผ่าน” เช่น การประเมินผลของภาษีคาร์บอนต่อการดำเนินงานของบริษัท
เมื่อคำนวณอัตราส่วนระหว่างการปล่อยทั้งหมดต่อมูลค่าเพิ่มต่อปีของตลาดทองคำ พบว่าอยู่ที่ประมาณ 400–600 tCO2e ต่อมูลค่าเพิ่มหนึ่งล้านยูโร ซึ่งถือว่าความเข้มข้นคาร์บอนของอุตสาหกรรมทองคำอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น เนื่องจากมูลค่าทองคำสูงมาก
การประเมินผลกระทบด้านภูมิอากาศในระดับพอร์ตลงทุนมักใช้ตัวชี้วัด “ค่าความเข้มข้นคาร์บอนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก” (WACI) โดยนำค่าการปล่อยต่อรายได้ของแต่ละบริษัทในพอร์ตมาถ่วงตามสัดส่วนการลงทุน ในกรณีของสินทรัพย์สำรองของธนาคารกลาง ทองคำถูกถือครองร่วมกับสินทรัพย์อื่น โดยมีค่า WACI อยู่ระหว่าง 150–350 tCO2e ต่อจีดีพีหนึ่งล้านยูโร
อย่างไรก็ตาม ทองคำแตกต่างจากหุ้นและพันธบัตร เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านั้นใช้เงินทุนเพื่อดำเนินงานและก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทองคำแท่งมีการปล่อยก๊าซเพียงครั้งเดียวในช่วงการผลิต และแทบไม่มีการปล่อยต่อเนื่องเมื่อถูกถือครอง ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า จะบูรณาการการปล่อยก๊าซของทองคำทางกายภาพเข้ากับกรอบการวิเคราะห์เดียวกับหุ้นและพันธบัตรได้อย่างไร
บางการศึกษาเสนอว่าควรเน้นการประเมิน “ปริมาณการปล่อยทั้งหมด” มากกว่าอัตราส่วนความเข้มข้น โดยคำนวณปริมาณการปล่อยจริงระหว่างการผลิตทองคำ แล้วเฉลี่ยตามระยะเวลาการถือครอง ยิ่งถือครองระยะยาว ผลกระทบการปล่อยต่อปีจะยิ่งต่ำ ซึ่งหมายความว่า หากประเมินตามวัฏจักรชีวิต ทองคำจะมีผลกระทบต่อภูมิอากาศในระดับที่น้อยลงเมื่อถือครองในระยะยาว
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อทองคำ
ความเสี่ยงการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks)
โดยทั่วไป การวิเคราะห์ความเสี่ยงการเปลี่ยนผ่านจะพิจารณาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งมักกระทบต่อบริษัทที่ใช้พลังงานคาร์บอนเข้มข้น เช่น ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่ม กำไรลด การเข้าถึงแหล่งทุนยากขึ้น และเสียเปรียบในการแข่งขันต่อบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีสะอาดกว่า ส่งผลให้มูลค่าหุ้นหรือพันธบัตรของนักลงทุนลดลง
แต่ในกรณีของทองคำ ความเชื่อมโยงนี้ไม่ชัดเจน ทองคำทางกายภาพที่ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยไม่ได้รับผลโดยตรงจากมาตรการเช่นภาษีคาร์บอน ดังนั้น ผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านจึงอาจมีเพียงเล็กน้อย
ผลทางอ้อมอาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ราคาทองคำในตลาดถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน หากมูลค่าของทองคำในฐานะสินทรัพย์หลบภัยเพิ่มขึ้นในช่วงตลาดผันผวน ราคาทองคำอาจปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกัน นักลงทุนบางส่วนอาจหันไปให้ความสำคัญกับทองคำที่ผลิตภายใต้มาตรฐานสิ่งแวดล้อมเข้มงวด ส่งผลให้ราคาทองคำจากเหมืองที่ปล่อยก๊าซสูงลดลง การประเมินผลเหล่านี้ทำได้ยากเพราะมีตัวแปรหลายปัจจัย
ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks)
ความเสี่ยงทางกายภาพมักวิเคราะห์ในมุมของ “แรงกระแทกฝั่งอุปทาน” เช่น โรงงานผลิตได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติหรือเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้กับการลงทุนในหุ้นของบริษัทเหมืองทองคำได้
แต่การลงทุนในทองคำทางกายภาพ (เหรียญหรือแท่งทอง) แทบไม่มีความเสี่ยงดังกล่าว เพราะทองคำไม่สามารถถูกทำลายได้ แม้ในเหตุการณ์ภัยพิบัติ ดังนั้น การลงทุนในทองคำจึงเทียบได้กับการลงทุนในทั้งอุตสาหกรรม มากกว่าบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยภูมิอากาศโดยตรง
แม้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจส่งผลลบต่อผู้ผลิตทองคำบางราย แต่ไม่คาดว่าจะกระทบตลาดทองคำทั้งหมด เนื่องจากการกระจายทางภูมิศาสตร์ของเหมืองมีความกว้าง ไม่มีภูมิภาคใดผลิตเกินหนึ่งในห้าของปริมาณทั่วโลก ทำให้สภาวะอุปทานค่อนข้างมั่นคง
ปัจจุบันธนาคารกลางจำนวนมากเริ่มเผยแพร่รายงานด้านความยั่งยืนและความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งวิเคราะห์สินทรัพย์ประเภทหุ้นและพันธบัตรเป็นหลัก ทั้งที่ทองคำมีบทบาทสำคัญในสินทรัพย์สำรองทั่วโลก และความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มความสำคัญของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง