In Brief
ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต ถือเป็นอีกกลไกที่สำคัญ ที่ชี้ให้เห็นว่าองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ให้ความสนใจหรือตื่นตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากน้อยแค่ไหน รวมถึงการรับมือกับเงื่อนไขของการค้าโลกที่นำมาตรการสิ่งแวดล้อมมาเป็นข้อกีดกันทางการค้า ซึ่งจากการเก็บสถิตขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในช่วง 4 ปีงบประมาณ( 2565-2568) สะท้อนให้เห็นถึงการตื่นตัวของหน่วยงานรือองค์กรต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ อบก.รายงานให้เห็นว่า ปีงบประมาณ 2568 (ต.ค.67-ปัจจุบัน) การซื้อขายคาร์บอนเครดิตมีปริมาณที่ 288,636 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขาย 29.88 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 103.53 บาทต่อตัน ส่วนใหญ่เป็นประเภทจากชีวมวล มีปริมาณ 235,104 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขายที่ 10.39 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 44.25 บาทต่อตัน
รองลงมาเป็นประเภทจากป่าไม้ มีปริมาณ 13,003 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ มีมูลค่าซื้อขาย 9.21 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 709.05 บาทต่อตัน ประเภททำปุ๋ยหมัก ปริมาณ 4,632 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ มีมูลค่าซื้อขายที่ 1.04 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 225.65 บาทต่อตัน และประเภทโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าและการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าในระดับโครงการ(P-REDD+) มีปริมาณ 4,852 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขาย 7.32 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 1,510 บาทต่อตัน เป็นต้น
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ได้มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเชิงปริมาณ และมูลค่าที่ลดลง โดยนับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2565 ซึ่งถือเป็นปีที่มีการซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ปริมาณ 1,187,327 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขายที่ 128.48 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 108.22 บาทต่อตัน ในปีงบประมาณ 2566 เริ่มลดงมีปริมาณซื้อขายที่ 857,102 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขายที่ 68.32 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 79.71 บาทต่อตัน ปีงบประมาณ 2567 มีปริมาณซื้อขายที่ 686,079 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มีมูลค่าซื้อขาย 85.79 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยที่ 125.65 บาทต่อตัน
เมื่อมาพิจารณารายงานสำรวจตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจประเทศไทย ประจำปี 2568 จัดทำขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง อบก. เครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (TCNN) และบริษัท เดอะ ครีเอ จำกัด (Creagy) ได้รวบรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในตลาดคาร์บอนไทยกว่า 263 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นองค์กรภาคเอกชน คิดเป็นสัดส่วนถึง 78%
สะท้อนให้เห็นว่า แม้ผู้ซื้อส่วนใหญ่ในตลาดคาร์บอนเครดิต มีความต้องการหลักเพื่อนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในองค์กรของตน แต่ปริมาณการซื้อยังคงอยู่ในระดับตํ่าถึงปานกลาง โดยกว่า 78% ของผู้ซื้อชดเชยคาร์บอนเครดิตตํ่ากว่า 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงนัก
พฤติกรรมนี้ สะท้อนถึงการรอดูสถานการณ์ของผู้ประกอบการ เนื่องจากขาดแรงจูงใจที่ชัดเจนและเพียงพอจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นในมิติของกฎหมาย ภาษี หรือแรงจูงใจจากภาคการเงินและการลงทุน ส่งผลให้ความต้องการในตลาดขยายตัวอย่างจำกัด
อีกทั้ง การรอความชัดเจนของนโยบาย จากความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายภาครัฐ โดยเฉพาะการผลักดันร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่อาจนำไปสู่การกำหนดมาตรการเชิงบังคับในอนาคต เช่น การจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) หรือการนำระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System: ETS) มาใช้ ทำให้บริษัทต่าง ๆ ที่เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ชะลอการตัดสินใจซื้อคาร์บอนเครดิตในตลาดภาคสมัครใจออกไป เพื่อรอความชัดเจนของเกณฑ์และกลไกใหม่ที่จะเกิดขึ้น
เห็นได้จากผลการสำรวจ หากพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ...มีผลบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ มีเพียง 27 % มีความพร้อมที่จะดำเนินการได้ทันที ขณะที่ส่วนใหญ่ถึง 67% ต้องการเวลาเพิ่มเติมในการเตรียมพร้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสสำคัญที่ภาครัฐและหน่วยงานสนับสนุนจะต้องเร่งพัฒนาเครื่องมือและองค์ความรู้เพื่อช่วยให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะกลุ่มที่ยังอยู่ในช่วงการเตรียมตัวสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ แม้ว่าหลายองค์กรจะยังคงให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง ทำให้ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนเป็นอันดับแรก ซึ่งการซื้อคาร์บอนเครดิตถือเป็นหนึ่งในต้นทุนที่สามารถปรับลดหรือชะลอได้หากไม่มีแรงกดดันจากกฎระเบียบที่ชัดเจน
ดังนั้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาตลาดคาร์บอนให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว มีข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันและสื่อสารแนวทางที่ชัดเจนของร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับ เช่น ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) และภาษีคาร์บอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ
อีกทั้ง การพัฒนากลไกทางการเงินที่ช่วยลดภาระต้นทุนให้กับผู้พัฒนาโครงการ เพื่อให้ตลาดมีความคล่องตัวและดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น ซึ่งการพัฒนาตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ไม่ได้เป็นเพียงการสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการสร้างงานใหม่และขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจคาร์บอนตํ่าได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง