GGC จี้รัฐหนุน Green Fund ลดต้นทุนผลิตขยายผลปาล์มคาร์บอนต่ำ 6.4 ล้านไร่

03 ต.ค. 2568 | 07:52 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ต.ค. 2568 | 08:24 น.

GGC จี้รัฐบาลหนุน Green Fund ลดต้นทุนการผลิตขยายผลปาล์มคาร์บอนต่ำ 6.4 ล้านไร่ ชี้การเปลี่ยนผ่านการผลิตแบบคาร์บอนต่ำเป็นเรื่องยากของเกษตรกร

KEY

POINTS

  • GGC เรียกร้องให้ภาครัฐจัดตั้ง Green Fund เพื่อสนับสนุนต้นทุนการผลิตแก่เกษตรกร และขยายผลโครงการปาล์มคาร์บอนต่ำสู่เป้าหมาย 6.4 ล้านไร่
  • โครงการนำร่องที่ใช้เทคโนโลยีดาวเทียม Carbon Watch ช่วยให้เกษตรกรมีผลผลิตเพิ่มขึ้น 30% และต้นทุนลดลง 25% ซึ่งเป็นโมเดลต้นแบบในการขยายผล
  • เสนอให้รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การสร้างความต่อเนื่องของตลาดผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการเร่งจัดทำแผนที่ท้องถิ่นของประเทศ

นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยกล่าวในการเสวนาหัวข้อ ”Technology Strategy for Energy Goal” ในงาน Sustainability Expo 2025 “A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับ Sustainability Expo 2025 (SX2025) ว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) ถือเป็นเรื่องยากสำหรับเกษตรกร เนื่องจากกระบวนการปลูกคาร์บอนต่ำต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย 

โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของปาล์มเพื่อคำนวณเป็นคาร์บอนเครดิต หากใช้วิธีวัดขนาดต้นหรือพุ่มแบบเดิม จะใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง ซึ่งอาจทำให้เกษตรกรเลิกทำได้

ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว GGC จึงได้ดำเนินการร่วมกับไทยคมในการนำเทคโนโลยีดาวเทียมที่เรียกว่า Carbon Watch เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งช่วยให้เกษตรกรสามารถทำงานที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลามากได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถบรรลุเป้าหมายคาร์บอนต่ำ และตอบโจทย์การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ไปถึงแปลงปลูกตามข้อกำหนด EUDR ได้ โดยโครงการในระยะต่อไป จะมีการพัฒนาไปสู่การเก็บกักคาร์บอน (Carbon Capture) ด้วยต้นปาล์ม

GGC จี้รัฐหนุน Green Fund ลดต้นทุนผลิตขยายผลปาล์มคาร์บอนต่ำ 6.4 ล้านไร่

นายกฤษฎา กล่าวอีกว่า จากการดำเนินโครงการ GGC มีเป้าหมายคือการมุ่งเน้นให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นและมีต้นทุนต่ำลง โดย GGC ไม่ได้เรียกร้องผลตอบแทนใด เนื่องจากถือว่าเกษตรกรช่วย GGC ทางอ้อมในฐานะทีเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบคาร์บอนต่ำ ซี่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรในโครงการ 30,000 กว่าไร่ ได้แก่ 

  • ผลผลิตเพิ่มขึ้น จากเดิมเฉลี่ย 2.8 ตันต่อไร่ เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.8 ตันต่อไร่ หรือ 30%
  • ต้นทุนลดลง ต้นทุนเฉลี่ยลดลงจาก 3 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 2.2 บาทต่อกิโลกรัม ลดลง 25%
  • รายได้เพิ่มขึ้นจากการผลิตวัตถุดิบพรีเมียมเกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้ราคาพรีเมียมกว่าเดิมประมาณกิโลกรัมละ 1 บาท หลังผ่านการรับรองมาตรฐานสากล ISPO 

“เกษตรกรในโครงการเรียกร้องให้ดำเนินการเรื่องคาร์บอน ให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ โมเดลต้นแบบจากปาล์มน้ำมันและอ้อย ยังสามารถขยายผลไปยังภาคการเกษตรอื่นๆ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศได้”

อย่างไรก็ดี ความท้าทายหลักคือการขยายโมเดลให้ครอบคลุมพื้นที่ปลูกปาล์มทั้งหมด 6.4 ล้านไร่ ซึ่งต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจังใน 4 ด้าน ประกอบด้วย

  • สนับสนุน Green Fund และต้นทุนการผลิต รัฐบาลควรสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรที่ผลิตสินค้าเกษตรที่เป็น Green Product โดยอาจจัดตั้ง Green Fund ให้
  • สร้างความต่อเนื่องและตลาด รัฐบาลต้องมีความจริงจังและต่อเนื่องในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำอย่างแท้จริง เช่น กรณีไบโอดีเซล ที่มูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี แต่การสนับสนุนอาจถูกยกเลิก ซึ่งจะกลายเป็นอุปสรรคต่อความต่อเนื่อง
  • ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Benefit) โดยรัฐบาลควรให้เครดิตหรือส่วนลดภาษีแก่ผู้ที่ผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตแฟตตี้แอลกอฮอล์หรือกลีเซอรีนเกรดอาหารและยา ปัจจุบันมาตรการภาษีส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การลงโทษผู้ที่ปล่อยคาร์บอน แต่ไม่มีผลประโยชน์สำหรับผู้ที่ทำดี
  • เร่งรัดการจัดทำ Local Map ของประเทศ โดยประเทศไทยขาดแผนที่ท้องถิ่น (Local Map) ที่ชัดเจน ซึ่งทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการค้า หากไม่มี Local Map มาตรฐานของ EU จะถูกนำมาใช้กำหนดว่าพื้นที่ใดเป็นป่าหรือไม่ใช่ป่า ซึ่งอาจทำให้อำนาจการตัดสินใจถูกครอบคลุมโดย EU และกลายเป็นอุปสรรคต่อการส่งออก