In Brief
ในเดือนมิถุนายน 2565 ประเทศไทยได้ลงนามในข้อตกลงด้านสภาพอากาศทวิภาคีกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภายใต้ข้อที่ 6 ของข้อตกลงปารีส เพื่อเปิดโอกาสทางการเงินสำหรับโครงการที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (E-Mobility) มีเป้าหมายเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าผ่านการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการต่าง ๆ ในภาคการขนส่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่การขนส่งที่ยั่งยืน
โครงการ “Electric Mobility Program Thailand” จึงได้เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง Grutter Consulting AG บริษัทที่ปรึกษาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งที่ยั่งยืนและการเงินด้านสภาพภูมิอากาศ ให้ฐานะผู้พัฒนาโครงการ ร่วมกับบริษัทชั้นนำในประเทศไทยอีก 4 แห่ง ได้แก่ Energytech Asia Co. Ltd., Haupcar Company Ltd., Mobilix Company Ltd., และ Kachasara Company Ltd.
โดยผ่านความเห็นชอบจากจากรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อมุ่งส่งเสริมการเปลี่ยนยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (BEVs) โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์เชิงพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก, รถตู้ และรถโดยสาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนสำคัญในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ เป็นการขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากการขายคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการ Premium T-VER ของประเทศไทย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเอาชนะอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง ผ่านความร่วมมือกับผู้เล่นหลักในตลาด เช่น ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และบริษัทให้เช่ารถไฟฟ้า
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) รายงานว่า โครงการดังกล่าวทาง Grutter Consulting AG แจ้งความประสงค์ในการพัฒนาโครงการขึ้นทะเบียนเป็น Premium T-VER เพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิต ซึ่งปัจจุบันได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนซึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่ผ่านมา เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาขึ้นทะเบียน และรับรองคาร์บอนเครดิต
โดยมีระยะเวลาการให้เครดิต 5 ปี (2569-2573) มีเป้าหมายปริมาณคาร์บอนเครดิตรวมตลอดระยะเวลาโครงการ 1,040,928 ตันคาร์บอน ไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) หรือเฉลี่ย 208,186 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี จากจำนวนรถยนต์อีวีที่เข้าร่วมโครงการ 28,000 คัน แบ่งเป็นรถโดยสาน 5,500 คัน รถบรรทุก 14,000 คัน และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก 8,500 คัน
ทั้งนี้ คาร์บอนเครดิตที่ได้ จะถูกจัดสรร 2 ส่วน โดยปริมาณ 936,836 tCO2 eq จะถูกขายเผ่านกลไกการโอนสิทธิการลดก๊าซเรือนกระจกที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ ภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีส (ITMOs) โดยมีสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศผู้ซื้อหลัก ซึ่งรายได้จากการขายส่วนนี้จะเป็นผลตอบแทนหลักที่ผู้ลงทุนจะได้รับ และส่วนที่เหลือ 104,093 tCO2 eq หรือคิดเป็น 10% ของปริมาณสะสมทั้งหมดจะถูกหักไว้และคงอยู่ที่ประเทศไทยตามนโยบาย NDC Action Plan
สำหรับโครงการนี้มีมูลค่าเงินลงทุนรวมราว 31,294 ล้านบาทนี้ จะถูกนำไปใช้สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจของแต่ละบริษัท ผ่าน 11 กิจกรรม ของบริษัท โมบิลิกซ์ จำกัด 4 กิจกรรม จากการปล่อยเช่าและดำเนินงานรถบรรทุกขนาดเล็ก/กลาง ที่มีนํ้าหนักไม่เกิน 6 ตัน การปล่อยเช่าและดำเนินงานรถบรรทุกขนาดใหญ่ ที่มีนํ้าหนักเกิน 6 ตัน การปล่อยเช่าและดำเนินงานรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (LCVs) การปล่อยเช่าและดำเนินงานรถโดยสาร ตลอด 5 ปี รวมปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ 387,885 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียนเท่า
บริษัท เอเชีย เอ็นเนอยี่ เทคโนโลยี จำกัด 1 กิจกรรม จากการ การจำหน่าย การปล่อยเช่า และการดำเนินงานรถบรรทุก ตลอด 5 ปี รวมปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ 185,493 tCO2e
บริษัท ฮ้อปคาร์ จำกัด 3 กิจกรรม จากการปล่อยเช่าและดำเนินงานรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (LCVs) การปล่อยเช่าและดำเนินงานรถบรรทุก และการปล่อยเช่าและดำเนินงานรถโดยสาร ตลอด 5 ปี รวมปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ 180,779 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
และบริษัท คชสรรา จำกัด 3 กิจกรรม จากการจำหน่าย การจัดโครงสร้างบริการ และการดำเนินงานรถบรรทุก การจำหน่าย การจัดโครงสร้างบริการ และการดำเนินงานรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (LCVs) และการจำหน่าย การจัดโครงสร้างบริการ และการดำเนินงานรถบัส ตลอด 5 ปี รวมปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดได้ 286,772 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
รวมถึงนำไปเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินงานที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน (ค่าไฟฟ้า), ค่าประกันภัย และค่าบำรุงรักษา เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
อบก.รายงานอีกว่า สำหรับโครงการนี้ ได้รับรองคาร์บอนเครดิต ทางบริษัท Grutter Consulting AG ในฐานะผู้พัฒนาโครงการ จะเป็นผู้รวบรวมคาร์บอนเครดิต โอนสิทธิผ่านมูลนิธิ Klik Foundation ซึ่งเป็นผู้ซื้อ และนำรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้น ส่งกลับคืนให้กับบริษัทผู้ลงทุนแต่ละราย เพื่อชดเชยต้นทุนส่วนเพิ่ม ที่เกิดขึ้นจากการซื้อหรือเช่ารถยนต์ไฟฟ้า ช่วยให้สามารถแข่งขันกับยานยนต์แบบเดิมได้ โดยข้อมูลชี้ว่ารายได้นี้สามารถช่วยลดช่องว่างของต้นทุนได้สูงถึง 30-100% ทำให้โครงการนี้มีความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจในระยะยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง