net-zero

ปัดฝุ่น BCG โอกาสของไทย เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

In Brief

  • การรื้อฟื้นโมเดลเศรษฐกิจ BCG (ชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว) มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593
  • BCG คือกระบวนการปรับปรุงระบบการผลิตที่ผสมผสาน 3 แนวคิดเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำที่ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ภาครัฐต้องเปลี่ยนจากการนำเสนอแนวคิดไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยออกมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษี การสร้างตลาดสีเขียว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

เป้าหมายคือทำให้เศรษฐกิจเติบโตไปพร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม แต่ในช่วงหลัง ๆ กระแสสนับสนุนจากภาครัฐกลับค่อย ๆ แผ่วลง ในขณะที่หลายประเทศเร่งเครื่องสร้าง “อุตสาหกรรมสีเขียว” กันอย่างจริงจัง

 แม้ว่าแนวคิดนี้จะค่อย ๆ หายไปจากวาระนโยบายแห่งชาติ แต่อาจถึงเวลาแล้วที่เราต้องพา BCG กลับเข้าสู่หน้าวาระนโยบายอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพื่อภาพลักษณ์สวย ๆ เพื่อไปพูดกับประชาคมโลก แต่เพื่อพาประเทศไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของไทยในโลกที่กำลังเลือกฝั่งอนาคตสีเขียวอย่างชัดเจน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันว่า BCG ไม่ใช่กรอบแนวคิด แต่ยังเป็น “กระบวนการปรังปรุงระบบการผลิต” ที่ประกอบด้วยสามมิติทางด้านเศรษฐกิจเพื่อความยั่งยืนร่วมกันอย่างเป็นเนื้อเดียว โดยเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการใช้ของให้คุ้มค่าที่สุด ออกแบบสินค้าให้ซ่อมแซม ใช้ซํ้า และรีไซเคิลได้ เศรษฐกิจชีวภาพคือการหันมาใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น พืชเหลือทิ้งทางการเกษตร หรือจุลินทรีย์ แทนการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและแร่ธาตุที่ใช้แล้วหมดไป ส่วนเศรษฐกิจ

ปัดฝุ่น BCG โอกาสของไทย เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน

สีเขียวคือกรอบใหญ่ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมและการทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้เมื่อนำมารวมกันจะเกิด “อุตสาหกรรมแบบใหม่” ที่ปล่อยคาร์บอนตํ่าใช้ทรัพยากรคุ้มค่า และยังช่วยให้ธุรกิจจัดการต้นทุนและความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้นด้วย

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เคยวางแผนขับเคลื่อน BCG อย่างเป็นระบบมานานหลายปี มีการตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยถนัดอยู่แล้ว ได้แก่ เกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงาน และการท่องเที่ยว รวมไปถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมมาตรการจูงใจด้านภาษีและกฎเกณฑ์ เพื่อดึงการลงทุนเหล่านี้เข้าประเทศ

ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมในประเทศ เลือกที่จะเปลี่ยนของเหลือทิ้งให้เป็นวัตถุดิบมีมูลค่า เช่น เปลี่ยนขยะจากโรงงานอาหาร หรือกากนํ้าตาลโรงงานนํ้าตาลให้เป็นปุ๋ย วัสดุชีวภาพ หรือพลังงานชีวภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้ห่วงโซ่การผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้นและทำกำไรได้ในระยะยาว

เมื่อมองไปนอกประเทศ ยิ่งเห็นว่ากระแสโลกกำลังไปในทิศทางเดียวกัน กรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคอย่าง APEC เริ่มพูดถึง BCG มากขึ้น โดยมุ่งเน้น “ทุนสี่ด้าน” คือธรรมชาติ คน สังคม และโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ยุโรปเดินหน้าแผนเศรษฐกิจสีเขียวและเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างจริงจัง มีทั้งมาตรฐานสินค้า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ให้สิทธิพิเศษกับอุตสาหกรรมสีเขียว ตลอดจนแสวงหาแหล่งเงินทุนเฉพาะด้านให้อุตสาหกรรมดังกล่าว

คำถามคือทำอย่างไรให้ แผนที่เราเคยมี ถูกนำมาปัดฝุ่นแล้วเกิดขึ้นจริง ซึ่งอาจนำร่องจากอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมก่อนก็ได้ อย่างอุตสาหกรรมนํ้าตาล ซึ่งประเทศไทยถือเป็นแหล่งผลิตสำคัญของโลก งานวิจัยระบุว่าของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตนํ้าตาล หากนำมาแปรรูปและจัดการถูกวิธี จะได้ผลผลิตเป็นปุ๋ยชั้นดี ช่วยให้ไทยสามารถลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมีได้

อุตสาหกรรมครบวงจรนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการทำงานของภาครัฐช่วยด้วย โดยเฉพาะการทำให้ค่าขนส่งวัตถุดิบชีวมวลคุ้มค่าขึ้น โดยอาจวางโครงสร้างพื้นฐานระดับจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัด รวมไปถึงการกำหนดกติกาชัด ๆ ว่าอะไรคือ “ของเสีย” อะไรคือ “วัตถุดิบทางชีวมวล” เพื่อให้ใช้อย่างถูกกฎหมายและปลอดภัย

ในขณะที่งานศึกษาจากต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรประบุว่า การผลักดันการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจสีเขียวภาครัฐต้องคิดแบบครบวงจร ตั้งแต่การวางเป้าหมายว่าต้องการผลักดันหรือส่งเสริมอุตสาหกรรมอะไร ตั้งแต่ต้นนํ้ายันปลายนํ้า โดยเริ่มจากการใช้เงินงบประมาณอุดหนุน จากนั้นเน้นดึงเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน พร้อมเชื่อมโยงงานวิจัย การกำหนดมาตรฐาน และลงทุนในระดับการผลิตเข้าด้วยกันเพื่อให้สินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดได้จริง

ฉะนั้น การหันกลับมาปัดฝุ่นแนวคิด BCG ครั้งถือเป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ในฐานะโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ในฐานะการยกระดับอุตสาหกรรมภาพรวมของประเทศ และแนวคิดนี้ยังอาจช่วยผลักดันให้ไทยศูนย์กลางด้าน BCG ของภูมิภาคได้อีกด้วย

ท่ามกลางการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่ยั่งยืนที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ภาครัฐต้องออกแบบมาตรการและสิทธิประโยชน์กับอุตสาหกรรม BCG อย่างจริงจังมากขึ้น เช่น สิทธิประโยชน์ภาษีที่ผูกกับ

การลดคาร์บอนต่อหน่วย เพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบหมุนเวียน เราต้องมี “โครงสร้างพื้นฐานข้อมูล” ให้ผู้ประกอบการทุกขนาดทำบัญชีคาร์บอนและวัฏจักรชีวิตสินค้าที่เข้าถึงได้ และทำได้ง่ายในราคาย่อมเยา ต้องสร้าง “ตลาดสีเขียว” ผ่านการจัดซื้อของรัฐ การให้สิทธิพิเศษด้านสัญญาพลังงานระยะยาวจากชีวมวลและของเสีย โดยคิดต้นทุนทั้งวัฏจักรชีวิต ไม่ใช่แค่ราคาหน้าโรงงาน

สุดท้ายแล้วแนวคิด BCG จะมีประสิทธิภาพในเชิงปฏิบัติ ก็ต่อเมื่อเปลี่ยนจาก “การบอกเล่าแนวคิด” เป็น “การจัดวางระบบ” ที่มีการตั้งแต่กฎกติกาที่ชัดเจน เครื่องมือวัดผลที่ใช้ได้จริง โครงสร้างพื้นฐานที่ลดต้นทุนจริง ไปจนถึงนโยบายจัดซื้อและการเงินสาธารณะ ที่สร้างความต้องการจริงได้

 วันนี้ประเทศไทยมีโครงสร้างหลายอย่างพร้อมอยู่แล้ว ทั้งชีวมวลหลากชนิด นักวิจัยและบุคลากรคุณภาพ ตัวอย่างความสำเร็จทั้งในบางอุตสาหกรรม แต่สิ่งที่ขาดคือแรงขับต่อเนื่อง ให้แนวคิด BCG กลับมาเป็นยุทธศาสตร์หลักของการยกระดับอุตสาหกรรมและการส่งเสริมการลงทุน วันนี้หากเรามุ่งมั่นกับเป้าหมายคาร์บอนเป็นกลางปี 2593 การปัดฝุ่นแนวคิด BCG ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น