net-zero

แร่หายากจากก้นทะเล คำตอบพลังงานสีเขียวหรือปัญหาใหม่ของโลก

ความต้องการแร่หายากเพิ่มสูงขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้การทำเหมืองใต้ทะเลลึกถูกหยิบยกเป็นทางเลือกใหม่ แม้จะมีศักยภาพตอบโจทย์อุปสงค์ด้านพลังงาน แต่ยังเต็มไปด้วยข้อถกเถียงเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม การกำกับดูแล และสิทธิในทรัพยากร

การเปลี่ยนผ่านสู่ พลังงานสีเขียว และความก้าวหน้าในเทคโนโลยีดิจิทัลกำลังผลักดันความต้องการใช้แร่ธาตุที่มีความสำคัญ เช่น โคบอลต์ ลิเทียม นิกเกิล และธาตุหายากอื่น ๆ การค้นหาแหล่งใหม่ของทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญเหล่านี้จึงไม่จำกัดอยู่เพียงบนบก แต่ขยายไปถึงใต้มหาสมุทร

การทำเหมืองใต้ทะเลลึก ซึ่งผู้สนับสนุนอ้างว่าสามารถปลดล็อกแหล่งสำรองมหาศาลของแร่เหล่านี้ ยังคงเป็นประเด็นถกเถียง เนื่องจากแร่ในก้นทะเลอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การก้นสมุทรสากล (International Seabed Authority: ISA) ซึ่งมีหน้าที่กำหนดโครงสร้างการปกครองสำหรับการใช้และจัดการทรัพยากรทางทะเลที่อยู่นอกเขตอำนาจของชาติ

เลติเทีย คาร์วัลโญ เลขาธิการ ISA กล่าว หลังจากมีคำเตือนจากประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส และ อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ในการประชุมมหาสมุทรสหประชาชาติเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่เรียกร้องให้ใช้ความระมัดระวังต่อการทำเหมืองใต้ทะเลลึก

ก้นทะเลลึกต้องการกฎเกณฑ์และระเบียบ รวมถึงความเป็นผู้นำ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และวิทยาศาสตร์

ISA เป็นองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือของภาคีในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ปี 1982 เพื่อควบคุมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรแร่ในก้นทะเล

องค์กรนี้ได้ดำเนินการจัดทำรหัสกำกับกิจกรรมเหมืองใต้ทะเล แต่สมาชิกยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง โดยย้ำว่าการทำเหมืองเชิงพาณิชย์จะไม่เกิดขึ้นจนกว่ารหัสดังกล่าวจะแล้วเสร็จ

แหล่งสำรองแร่สำคัญมีอะไรบ้าง

โคบอลต์ ลิเทียม นิกเกิล สังกะสี ทองคำ และโลหะหายากอื่น ๆ มีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยีสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว เช่น แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การประกันความมั่นคงด้านอุปทานจึงเป็นทั้งประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์

ตามรายงานของ Time ความสนใจต่อการทำเหมืองใต้ทะเลเกิดขึ้นชัดเจนในช่วงต้นทศวรรษ 2020 เมื่อหลายประเทศเร่งหาวัตถุดิบสำคัญสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยี EV จะพัฒนาไปจนใช้ธาตุทางเลือก เช่น เหล็ก ฟอสฟอรัส และโซเดียม แทนโคบอลต์และนิกเกิลเป็นส่วนใหญ่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ความต้องการขุดแร่จากก้นทะเลยังคงอยู่ โดยสหรัฐฯ แสดงความตั้งใจที่จะสร้างแหล่งสำรองของตนเอง แทนการพึ่งพาประเทศอื่นอย่างจีน

สถาบันทรัพยากรโลก (WRI) ระบุว่า แหล่งสะสมที่น่าสนใจที่สุดอยู่ในน่านน้ำสากล เช่น เขตคลาเรียน-คลิปเพอร์ตัน ในมหาสมุทรแปซิฟิก

ผู้ประกอบการที่ต้องการใช้ประโยชน์จากแหล่งเหล่านี้ มักค้นหาแร่ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ ก้อนนอดูลโลหะหลายชนิด (polymetallic nodules), ซัลไฟด์โลหะหลายชนิด (polymetallic sulphides) และชั้นเปลือกเฟอร์โรแมงกานีสที่อุดมด้วยโคบอลต์ โดยส่วนใหญ่สัญญาสำรวจจะมุ่งที่ก้อนนอดูลโลหะหลายชนิด

อย่างไรก็ดี การที่แร่อยู่ในน่านน้ำสากลทำให้เกิดคำถามเรื่องความเป็นเจ้าของ การกำกับดูแล และกฎเกณฑ์การทำเหมือง โดย UNCLOS กำหนดให้แร่ก้นทะเลในน่านน้ำสากลเป็นมรดกร่วมของมนุษยชาติ ซึ่งการสกัดต้องเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งหมด

ข้อกังวลเรื่องการทำเหมืองใต้ทะเลลึก

นอกจากประเด็นสิทธิการครอบครองและผลประโยชน์ องค์กรทั่วโลกยังห่วงกังวลผลกระทบที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเล จากกิจกรรมเหมือง ในเอกสารสมุดปกขาวปี 2022 world economic forum เตือนถึง ความไม่เข้าใจผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และการขาดฉันทามติระหว่างภาคีพร้อมเรียกร้องให้มีการเก็บข้อมูลเพิ่มก่อนพิจารณาการใช้ประโยชน์จากแร่ก้นทะเล

การทำเหมืองก้อนนอดูลโลหะหลายชนิดมักใช้เครื่องจักรคล้ายรถแทรกเตอร์ ขุดแยกก้อนแร่จากตะกอน ส่งขึ้นสู่ผิวน้ำ ก่อนปล่อยตะกอนกลับลงสู่ทะเล ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การสูญเสียสิ่งมีชีวิตในทะเลโดยตรง ความเสียหายระบบนิเวศในระยะยาว ผลกระทบต่อการประมงและความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศจากการปล่อยคาร์บอนที่กักเก็บในก้นทะเล

ในเขตคลาเรียน-คลิปเพอร์ตัน ซึ่งมีแร่ก้อนนอดูลจำนวนมาก สถาบันทรัพยากรโลกรายงานว่า มีการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่กว่า 5,000 สายพันธุ์ที่ไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน

ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลและผู้เชี่ยวชาญนโยบายกว่า 1,000 คน จากกว่า 70 ประเทศ ลงนามเรียกร้องให้มีการชะลอการทำเหมืองใต้ทะเลลึก ขณะเดียวกัน 38 ประเทศก็เรียกร้องให้มีการพักชั่วคราวหรือแบนกิจกรรมนี้ เอกชนเองก็มีท่าทีคล้ายกัน โดย 64 บริษัทและสถาบันการเงินสนับสนุนการชะลอ และในปี 2021 บริษัทใหญ่ เช่น วอลโว่ และกูเกิล ประกาศว่าจะไม่ใช้แร่จากเหมืองใต้ทะเลในห่วงโซ่อุปทาน จนกว่าจะเข้าใจผลกระทบชัดเจน

เหตุใดจึงสนใจการทำเหมืองใต้ทะเลลึก

ตามรายงาน Global Critical Minerals Outlook 2025 ของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) การขุดและการถลุงแร่สำคัญบนบกยังคงกระจุกตัวสูง เช่น จีนเป็นผู้ถลุงหลักสำหรับ 19 ใน 20 แร่ที่รายงานวิเคราะห์

ความต้องการแร่เหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่น ความต้องการลิเทียมเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อปีที่ผ่านมา โดย IEA ชี้ว่า การใช้พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการแร่ลิเทียม โคบอลต์ กราไฟต์ และโลหะหายากเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเพื่อรถยนต์ไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน หรือโครงข่ายไฟฟ้า

IEA เสริมว่า เทคโนโลยีและความร่วมมือระดับโลกสามารถปลดล็อกแหล่งสำรองใหม่และกระจายห่วงโซ่อุปทาน เช่น การสำรวจโดยใช้ AI ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มอัตราการค้นพบ ขณะที่การรีไซเคิลยังช่วยเพิ่มอุปทานโดยไม่ต้องพึ่งการขุดใหม่

ดังนั้น ความมั่นคงด้านแร่สำคัญจึงกลายเป็นปัจจัยหลักของความมั่นคงทางพลังงานและอนาคตที่ยั่งยืน ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนเร่งหาแหล่งสำรองใหม่

บริษัทเอกชนที่ลงทุนในวิจัยและพัฒนาเหมืองใต้ทะเลแย้งว่า การขุดใต้ทะเลช่วยลดแรงกดดันต่อระบบนิเวศบนบก อีกทั้งก้อนนอดูลยังมีความเข้มข้นสูงของโลหะสำคัญ 4 ชนิด และก่อของเสียน้อยกว่า

แต่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนไม่เห็นด้วย Time ระบุว่า ต้องขุดพื้นที่ในทะเลมากกว่าบกถึง 2,000 เท่าเพื่อให้ได้ปริมาณนิกเกิลเทียบเท่า และการอ้างว่าการทำเหมืองใต้ทะเลทำลายน้อยกว่าก็ไม่ถูกต้อง เพราะก้นทะเลส่วนใหญ่ยังไม่ถูกสำรวจและอาจเสี่ยงเสียหาย

การศึกษาใหม่ในสหรัฐฯ ประเมินว่าอาจก่อผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมสูงถึง 13% และการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์อังกฤษพบว่า 40 ปีหลังจากมีการทำเหมืองในเขตคลาเรียน-คลิปเพอร์ตัน ตะกอนใต้ทะเลยังคงเปลี่ยนแปลงระยะยาว

กิจกรรมที่ดำเนินอยู่แล้ว

การศึกษาของอังกฤษชี้ให้เห็นว่าการทดสอบเทคโนโลยีเหมืองใต้ทะเลสำเร็จครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1970 แต่ความเป็นไปได้เชิงพาณิชย์เพิ่งเริ่มชัดเจนในไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนถึงปี 2010 การสำรวจยังเป็นงานของหน่วยงานรัฐ ก่อนที่ภาคเอกชนจะเข้ามามีบทบาท

ISA ได้ออกสัญญาสำรวจให้ 22 ผู้รับสัมปทาน ทั้งรัฐบาลและบริษัทเอกชน ครอบคลุมทั้ง 3 รูปแบบข้างต้น อย่างไรก็ตาม การเจรจาในที่ประชุมล่าสุดยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงด้านกฎระเบียบการทำเหมืองเชิงพาณิชย์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อเดือนเมษายนปีนี้ เพื่อส่งเสริมการทำเหมืองใต้ทะเลในน่านน้ำสหรัฐฯ และน่านน้ำสากล โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า สหรัฐฯ มีผลประโยชน์ด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจหลักในการรักษาความเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใต้ทะเล รวมถึงทรัพยากรก้นทะเล

สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นภาคี UNCLOS และไม่ได้เป็นสมาชิก ISA ดังนั้น หลังคำสั่งดังกล่าว ISA เตือนว่าการทำเหมืองเชิงพาณิชย์นอกเขตอำนาจของชาติจะละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเปิดการสอบสวนบริษัทเอกชนที่พยายามขออำนาจกำกับดูแลจากสหรัฐฯ โดยตรง แทนที่จะผ่าน ISA

ทางเลือกแทนเหมืองใต้ทะเล

หากก้นทะเลคือพรมแดนสุดท้ายของมนุษยชาติ การทำเหมืองใต้ทะเลต้องดำเนินด้วยความระมัดระวังหลายฝ่ายชี้ว่าไม่จำเป็นด้วยซ้ำต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานเขียว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียและมูลนิธิ Dona Bertarelli สนับสนุนให้หันสู่ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจหมุนเวียนแทน เช่น การขุดแร่จากเมือง (urban mining) และระบบรีไซเคิลที่ดีกว่า โดยล่าสุดมีงานวิจัยแสดงว่ากระบวนการรีไซเคิลสามารถกู้คืนลิเทียมเกือบทั้งหมดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว

IEA ยังระบุว่า ภายในปี 2050 การรีไซเคิลทองแดงจากของหมดอายุการใช้งานอาจตอบสนองได้เกือบ 40% ของความต้องการทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าการขยายวิถีทางเศรษฐกิจหมุนเวียนอาจทำให้การทำเหมืองใต้ทะเลถูกเลื่อนออกไปได้

ดร.ดีวา อามอน นักชีววิทยาทางทะเล และสมาชิก Friends of Ocean Action กล่าวในงาน Davos 2024 ช่วง Live from the Deep Sea ว่า

สิ่งที่ไม่ใช่การสร้างเศรษฐกิจมหาสมุทรสีน้ำเงินที่ยั่งยืน คือการเร่งรีบทำเหมืองก้นทะเลโดยปราศจากการกำกับดูแลที่ดี ปราศจากวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ และปราศจากการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

อ้างอิงข้อมูล

  • world economic forum