environment

กทม.–เหนือ 4 จังหวัด เข้าสู่เขตควบคุมมลพิษ รับมือฝุ่นฉุดเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว

คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไฟเขียว กทม.–เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษ หลังฝุ่นพิษ PM2.5 พุ่งสูงต่อเนื่อง กัดกร่อนสุขภาพ กระทบท่องเที่ยว–เศรษฐกิจซ้ำซาก

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 4/2568 มีมติสำคัญเห็นชอบให้กรุงเทพมหานคร และ 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ถูกประกาศเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” หลังสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และมลพิษทางอากาศทวีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เข้าร่วม

สำหรับกรุงเทพมหานคร การประกาศครั้งนี้จะทำให้หน่วยงานรัฐมีอำนาจดำเนินมาตรการเร่งด่วน ควบคุมมลพิษเชิงระบบ เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและยกระดับคุณภาพชีวิต คาดว่าสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี รวมถึงเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงสิ่งแวดล้อม

4 จังหวัดภาคเหนือ

มาตรการดังกล่าวจะใช้รับมือหมอกควันจากไฟป่า การเผาในที่โล่ง และมลพิษจากคมนาคม ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซากที่บั่นทอนสุขภาพและเศรษฐกิจท้องถิ่น การประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษจะช่วยให้การทำงานร่วมกันระหว่างส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่นมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการป้องกันและแก้ไข

ที่ประชุมยังเน้นย้ำความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งการควบคุมการเผา การใช้เชื้อเพลิงสะอาด การติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศ และการสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะ เพื่อให้มาตรการเกิดผลเป็นรูปธรรม

การยกระดับพื้นที่เหล่านี้สู่เขตควบคุมมลพิษ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของไทยในการจัดการปัญหาฝุ่นพิษอย่างบูรณาการ ทั้งในเมืองหลวงและภาคเหนือ เป้าหมายไม่เพียงปกป้องสุขภาพประชาชน แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว

ความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยรวมจากฝุ่นพิษ

งานวิจัยทั้งในและต่างประเทศหลายชิ้นพยายามประเมิน “ต้นทุน” ของปัญหาฝุ่นพิษในรูปตัวเลขทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ธนาคารโลก (World Bank) รายงานในปี 2022 ว่าเฉพาะผลกระทบด้านสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 นั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศไทยคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 26,260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.6 แสนล้านบาท)

ขณะที่การประเมินในกรอบ “ต้นทุนสวัสดิการ” ที่ครอบคลุมผลกระทบกว้างขวางยิ่งขึ้นพบว่าฝุ่นพิษได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐศาสตร์แก่ประเทศไทยมากถึง 2.173 ล้านล้านบาท ในปี 2562 ซึ่งเทียบเท่าประมาณ 3.89% ของ GDP ประเทศ สัดส่วนความเสียหายนี้ถือว่าสูงติดอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย สะท้อนว่าปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้บั่นทอนเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม