net-zero

เทคโนโลยีดักจับ-กักเก็บคาร์บอน เตรียมขยาย 4 เท่าในปี 2030

รายงาน DNV คาดการลงทุน 8 หมื่นล้านดอลลาร์ หนุน CCS จากอเมริกาเหนือ-ยุโรป สู่ภาคอุตสาหกรรมยากลดการปล่อย แม้ยังไม่เพียงพอต่อ Net Zero

การดักจับและกักเก็บคาร์บอน  (Carbon Capture and Storage: CCS) เป็นเทคโนโลยีสำคัญของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยมักเป็นทางเลือกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องใช้กระบวนการพลังงานเข้มข้น เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก และการผลิตเคมีภัณฑ์  อย่างไรก็ตาม CCS ไม่เคยขยายตัวในระดับที่เพียงพอ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน

รายงาน Energy Transition Outlook CCS to 2050 ของ DNV ที่เผยแพร่ล่าสุด แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน ซึ่งทำหน้าที่ดักจับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่แหล่งกำเนิด ก่อนถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยคาดว่าจะเติบโต 4 เท่าภายในปี 2030 และได้รับแรงหนุนจากพัฒนาการในอุตสาหกรรม

หนึ่งในตัวอย่างคือ Northern Lights โครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ แบบโอเพ่นซอร์สแห่งแรกของโลกในนอร์เวย์ตะวันตก ได้รับการขนส่งคาร์บอนไดออกไซด์เหลวชุดแรกจาก Heidelberg Materials ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน STRATOS Facility ของบริษัท 1PointFive ในรัฐเท็กซัส ก็กำลังจะเริ่มดำเนินงาน และจะกลายเป็นโรงงานดักจับคาร์บอนโดยตรงจากอากาศ (Direct Air Capture: DAC) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เหตุผลที่ CCS กำลังถึงจุดเปลี่ยน

การลงทุนสะสมใน CCS ภายใน 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะสูงถึง 8 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยประมาณสองในสามของกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะเกิดขึ้นในอเมริกาเหนือและยุโรป ขณะที่อเมริกาเหนือยังคงเป็นผู้นำหลัก

คาดว่าการขยายตัวของ CCS ภายใต้นโยบายสนับสนุน จะช่วยลดต้นทุนได้ราว 14% ภายในปี 2030 จากการลดต้นทุนการลงทุนของเทคโนโลยีดักจับ รวมถึงต้นทุนการขนส่งและการกักเก็บ

ภาคอุตสาหกรรมที่ยากต่อการลดการปล่อยจะเป็นพื้นที่ที่ CCS มีบทบาทสำคัญที่สุด เนื่องจากสังคมยังคงต้องพึ่งพาปูนซีเมนต์ ปุ๋ย เหล็ก และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ผลิตด้วยกระบวนการพลังงานเข้มข้นซึ่งไม่สามารถใช้ไฟฟ้าแทนได้ง่าย

ผู้เล่นรายแรกที่ขับเคลื่อน CCS ส่วนใหญ่มีรากฐานจากธุรกิจน้ำมันและก๊าซ เช่น Northern Lights ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ Equinor, Shell และ TotalEnergies ขณะที่ STRATOS มี Occidental เป็นผู้ถือหุ้นบางส่วน สะท้อนถึงขนาด ความซับซ้อนทางวิศวกรรม และเงินลงทุนมหาศาลที่จำเป็น

โครงการ CCS จำนวนมากในระยะแรกจะมาจากภาคการผลิตพลังงานไฮโดรคาร์บอน (การแปรรูปก๊าซธรรมชาติ รวมถึงไฮโดรเจนและแอมโมเนียคาร์บอนต่ำ) เนื่องจากการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ในกลุ่มนี้มีต้นทุนต่ำกว่า ด้วยความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว

หลังปี 2030 การเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดจะเกิดขึ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ง่าย โดยคาดว่าภาคการผลิตจะคิดเป็น 41% ของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดักจับต่อปีในช่วงกลางศตวรรษ

ยุโรป การผลิตปูนซีเมนต์และเคมีภัณฑ์จะเป็นการประยุกต์ใช้ CCS ที่ใหญ่ที่สุด ขณะที่อเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง ไฮโดรเจนและแอมโมเนียจะเป็นหัวใจหลัก ส่วน จีน การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินจะเป็นสาขาหลัก

ตามการประเมิน CCS จะสามารถดักจับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 6% ของโลกภายในปี 2050 เทียบกับเพียง 0.5% ในปี 2030

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการเติบโตที่โดดเด่น แต่ CCS ต้องเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ถึง 6 เท่า จึงจะเพียงพอต่อเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ตามสถานการณ์ Pathway ของ DNV

ต้นทุนการลดการปล่อยในปัจจุบันถูกกว่าการพยายามดึงกลับในอนาคตมาก แต่ในเมื่อยังห่างไกลจาก Net Zero จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนโดยตรงจากอากาศ (DAC) เพื่อช่วยลดการปล่อยส่วนเกินในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า

แม้เทคโนโลยีเหล่านี้มีต้นทุนสูง แต่ตลาดคาร์บอนจะช่วยสนับสนุนการเติบโต โดยคาดว่าภายในปี 2050 ราวหนึ่งในสี่ของการดักจับคาร์บอนจะมาจากเทคโนโลยีการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์

บทบาทผู้นำคือกุญแจสู่การเติบโตของ CCS

การเติบโตของ CCS พึ่งพาบทบาทนำของรัฐบาลเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น โครงการ Acorn ในสกอตแลนด์ที่เพิ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่ก็เผชิญการคัดค้านที่สะท้อนถึงความท้าทายทางการเมือง

ในกรณี Acorn พรรคกรีนยังคงสงสัยว่า CCS เป็นเพียงกลยุทธ์ยืดอำนาจของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ขณะที่พรรคขวาจัด Reform UK ไม่ให้ความสำคัญกับเป้าหมาย Net Zero

ความมั่นคงได้กลายเป็นคุณลักษณะสำคัญของนโยบายพลังงานทั่วโลก และเนื่องจาก CCS พึ่งพาการสนับสนุนจากรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของนโยบายจึงเป็นความเสี่ยงสำคัญ อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณเชิงบวกจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่อนุมัติโครงการใหญ่ต่อเนื่อง

บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน เช่น ExxonMobil, Shell, BP, Chevron และ Aramco ต่างประกาศเป้าหมาย CCS ระดับ 10–30 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อปีภายในปี 2030 พร้อมลงทุนและเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องมากขึ้น

ในปี 2023 ExxonMobil เข้าซื้อกิจการ Denbury มูลค่า 4.9 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานท่อส่งคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วน SLB เข้าถือหุ้นใหญ่ใน Aker Carbon Capture ขณะที่ Occidental ซื้อ Carbon Engineering มูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ และล่าสุดยังซื้อกิจการ DAC อีกแห่งคือ Holocene

เส้นทางทางการเมืองของ CCS อาจซับซ้อนไม่ต่างจากเทคโนโลยี แต่หากโลกยังคงต้องการมุ่งสู่ Net Zero และพึ่งพาสินค้าจากอุตสาหกรรมหนัก CCS จะเป็นสิ่งจำเป็น เวลานี้คือจุดเปลี่ยน และโลกควรร่วมมือกันเร่งพัฒนาให้เร็วขึ้น

อ้างอิง 

  • weforum