ภาวะโลกร้อนกำลังทวีความรุนแรง จนกลายเป็นวิกฤตที่ทั่วโลกต้องเผชิญร่วมกัน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด ประเทศต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายและมาตรการเพื่อชะลอปัญหา และปกป้องโลกจากวิกฤตดังกล่าว
ประเทศไทยอยู่ระหว่างการผลักดันพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change เพื่อสร้างกรอบกฎหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเเละสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ซึ่งถูกออกแบบให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย พร้อมศึกษากลไกจากต่างประเทศเพื่อเสริมประสิทธิภาพ
พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเป็น พ.ร.บ.ใหม่ของประเทศไทยที่จะช่วยให้การขับเคลื่อนในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในทุกมิติให้สมดุลมากขึ้น เพราะจะมีทั้งการบังคับและการสนับสนุนควบคู่กันไป
ร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่าง พ.ร.บ. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2568 และคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาภายใน 50 วัน จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการรัฐสภา โดยคาดว่าจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาภายในปี 2569
มีคําถามว่า ทําไม พ.ร.บ.โลกร้อน ใช้เวลานานมากหรือประเทศไทยไม่จริงจังกับเรื่องนี้ ผมขอเรียนว่า เราจริงจังมาก แต่ประเทศไทยมีขั้นมีตอนมีกฎระเบียบ ซึ่งภายในปี 2569 ก็ต้องการเห็นกฎหมายฉบับนี้ออกมาบังคับใช้ ระหว่างนี้ได้ทํางานคู่ขนานในการพัฒนากฎหมายลูกไปด้วย 10 กว่าฉบับ ซึ่งกลไกทั้งหมดใช้เวลา
ร่าง พ.ร.บ. นี้ประกอบด้วยทั้งหมด 205 มาตรา แบ่งออกเป็น 14 หมวด และ 1 หมวดเฉพาะทาง มีสาระสำคัญที่ออกแบบขึ้นเพื่อควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านกลไกทางเศรษฐกิจที่รัฐจะบังคับใช้
ระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซ (ETS)
ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเข้าสู่ระบบที่รัฐกำหนดสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากปล่อยเกินจะต้องซื้อสิทธิจากผู้อื่น โดยระบบนี้จะช่วยจำกัดการปล่อยและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด
การจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็คล้ายกับกลไกที่อียูใช้บังคับภาคเอกชน ถ้าไม่ทําจะมีค่าปรับ และถ้าไม่ทำค่าปรับจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นการบีบให้เอกชนต้องลงทุนในการใช้เทคโนโลยีที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเอกชนจะถูกบังคับสําหรับกลุ่มที่ปล่อยก๊าซจำนวนมาก จะไม่ได้บังคับเอกชนทุกราย โดยเฉพาะ SME บังคับไม่ได้เพราะปล่อยก๊าซไม่มาก
ภาษีคาร์บอน
กำหนดให้จัดเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะเริ่มเก็บที่หน้าหัวจ่าย โดยใช้อัตราภาษีเบื้องต้น 200 บาทต่อตันคาร์บอน คำนวณแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 50 สตางค์ต่อลิตร เป็นรายได้เข้ากระทรวงการคลัง
สำหรับภาคธุรกิจที่ไม่สามารถลดการปล่อยได้ทันที สามารถใช้คาร์บอนเครดิตมาแลกเปลี่ยนหรือหักลบกับสิทธิการปล่อยในระบบ ETS ได้ไม่เกิน 15% โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซในปริมาณสูง เช่น ปิโตรเคมี เหล็ก หรือแก้ว
หลายคนก็บอกว่าแล้วทําคาร์บอนเครดิต กลัวเรื่องการฟอกเขียว เรากังวลเช่นกัน เพราะไม่ต้องการให้เกิดการฟอกเขียว ถ้าเอื้อให้เกิดการฟอกเขียวจากการใช้กลไกใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ ประเทศจะไปต่อไม่ได้ เพราะว่าเมื่อไหร่ที่เกิดการฟอกเขียวขึ้น ทุกคนก็รู้กันทั้งโลก จะทำการค้า การลงทุนสีเขียวก็ไปต่อไม่ได้ กลไกจะเชื่อมคาร์บอนดิตภาคสมัครใจ เข้าสู่ภาคบังคับหมายความว่า มีการจัดสรรสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ใช้กับอุตสาหกรรมที่ต้องเปลี่ยนผ่าน ใช้คาร์บอนเครดิตมาแลกเปลี่ยนหรือหักลบกับสิทธิการปล่อยในระบบ ได้ไม่เกิน 15%
ภาษีคาร์บอนจะจัดเก็บเพิ่มเติมจากสินค้าที่มีคาร์บอนแฝงสูง เช่น น้ำมันในภาคขนส่ง ขณะเดียวกัน เอกชนจำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซด้วยตนเอง หากไม่สามารถลดได้จะต้องชำระเงินชดเชยเข้ากองทุนสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะอยู่ภายใต้การดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงาน ก.ล.ต.
Thailand CBAM
ร่างกฎหมายยังได้กำหนดการจัดตั้ง Thailand CBAM หรือกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดนของไทย คล้ายกับมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศ และหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซ้ำซ้อนเมื่อนำสินค้าไปส่งออก
มาตรการ CBAM วันนี้มีประมาณ 6 ประเภทของสินค้าไทยที่กระทบโดยเฉพาะเหล็ก แต่ในอนาคตจะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ในบัญชีรายชื่อ ซึ่งจะกระทบกับประเทศมากขึ้น ขณะนี้ อังกฤษกําลังทํา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา ศึกษาอยู่ สหรัฐเมื่อก่อนก็ศึกษาเรื่องนี้แต่วันนี้นโยบายเปลี่ยนก็อาจจะยังไม่ได้ทําต่อ แต่ก็จะมีกลไกแบบ CBAM เกิดขึ้นอีกมาก พ.ร.บ.นี้ก็จะแก้ปัญหาเรื่องของค่าธรรมเนียม เพื่อจะนำเม็ดเงินกลับมาพัฒนาประเทศได้
จัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund)
กฎหมายยังเสนอจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) ซึ่งเป็นกองทุนหมุนเวียนในรูปแบบนิติบุคคล ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่อยู่ในโครงสร้างราชการ โดยจะให้ภาคเอกชนร่วมสมทบ และเปิดทางให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามามีบทบาทด้วย
เงินในกองทุนจะนำไปใช้สนับสนุนเอกชนผ่านเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือเงินอุดหนุนเพื่อการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แม้ภาษีคาร์บอนจะไม่ถูกนำเข้าโดยตรงในกองทุน แต่สามารถจัดสรรส่วนหนึ่งให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่กฎหมายการคลังของรัฐกำหนดไว้
กองทุนภูมิอากาศเป็นกลไกลสนับสนุน โดยสามารถแบ่งสัดส่วนการจัดสรรเงินโดยจะมีการจัดสรรอย่างเป็นระบบ เช่น ให้เอกชนกู้ยืมแบบดอกเบี้ยต่ำร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อจะนําไปสู่การใช้เทคโนโลยี อีกส่วนหนึ่งนำมาให้ประชาชน ชุมชนหรือกลุ่มมูลนิธิต่างๆ ที่จะไปช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการปรับตัวรองรับผลกระทบ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องงานวิจัยที่ไม่ซ้อนทับกับ อว. ที่จะนําไปสู่การขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง