บนโต๊ะอาหารของเราทุกวันนี้ เนื้อสัตว์คือสิ่งที่อยู่ตรงกลางจานมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น ไก่ทอด หมูผัด หมูกรอบ หรือเนื้อย่าง แต่ในวันที่โลกเริ่มร้อนอย่างไร้จุดหยุดพัก อัตราโรคไม่ติดต่อเรื้อรังพุ่งสูง งบประมาณด้านสาธารณสุขอาจแบกรับไม่ไหวอีกต่อไป คำถามใหญ่ก็เริ่มก่อตัวขึ้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องเปลี่ยนจานอาหาร
เพราะสิ่งที่เคยเป็นเพียงเรื่อง “กินเพื่ออยู่” วันนี้กลายเป็นคำถามสำคัญของทั้งเศรษฐกิจ สุขภาพ และความยั่งยืนของโลก การขับเคลื่อนระบบอาหารจึงไม่ใช่เรื่องของนักโภชนาการเท่านั้น แต่เป็นการบ้านระดับประเทศ ที่กำลังถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างจริงจัง
หนึ่งในเวทีสำคัญที่เกิดขึ้นเพื่อจุดประเด็นนี้คือ “Plant-Rich Food Forum & Culinary Experience: ปรับจาน เปลี่ยนอนาคต” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค
งานนี้เกิดจากความตั้งใจที่ชัดเจนในการสร้างการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของระบบอาหารที่หลากหลายทางโปรตีน โดยมี สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ Tilt Collective และ The Cloud ร่วมจัด รวบรวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย ภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชนมาร่วมสำรวจว่า ‘โปรตีนจากพืช’ ไม่ใช่แค่ทางเลือกของผู้บริโภค แต่คือยุทธศาสตร์ใหญ่ของประเทศที่อาจกำหนดตำแหน่งของไทยในอนาคตได้เลยทีเดียว
ภายในงาน เต็มไปด้วยเวทีที่เปิดกว้างให้ความรู้แลกเปลี่ยน ตั้งแต่การกล่าวเปิดโดย “วีระพงศ์ ประภา” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายผู้แทนการค้าไทย ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางการค้าระดับโลกและโอกาสของภาคเกษตรและอาหารไทย
ไปจนถึงการนำเสนอของ “จักรชัย โฉมทองดี” ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ Tilt Collective ที่เชื่อมโยงข้อมูลของไทยกับสถานการณ์โลกอย่างเฉียบคม ทั้งในด้านสภาพภูมิอากาศ ปัญหาสาธารณสุข และความเป็นไปได้ในการสร้างเศรษฐกิจใหม่ผ่านการเปลี่ยนแปลง “จานอาหาร”
นอกจากการพูดคุยเชิงนโยบาย สิ่งที่น่าประทับใจของงานคือการเสวนาที่ล้อมรอบไปด้วยมุมมองหลากหลาย ตั้งแต่ประเด็นนวัตกรรมโปรตีนรูปแบบใหม่ พืชโปรตีนพื้นบ้านของไทย ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ รวมถึงแนวโน้มล่าสุดของนโยบายรัฐและทิศทางภาคธุรกิจ
และที่ขาดไม่ได้คือ “การชิม” ไม่ใช่เพื่ออร่อยเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อให้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของอาหารจากพืชที่ดีต่อสุขภาพ ยั่งยืน และปรุงได้อย่างประณีตจากวัตถุดิบในประเทศ
หนึ่งในไฮไลต์ของงาน “สิรินยา ลิม” ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ สอวช. ภายใต้หัวข้อ “Plant-Rich Food Future: A National Strategy for Economic Innovation and Global Competitiveness” ที่ชี้ชัดว่า “อาหารจากพืช” ไม่ใช่เพียงเทรนด์ทางสุขภาพหรือทางเลือกเฉพาะกลุ่ม หากแต่คือยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศในการเดินหน้าไปสู่ความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ สอวช. อธิบายว่า ระบบอาหารจากพืชที่มีนวัตกรรมจะสามารถยกระดับสุขภาพประชาชน ลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุข นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการเกิดเศรษฐกิจใหม่ผ่านเทคโนโลยีก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นชีววิทยาสังเคราะห์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การพิมพ์สามมิติ และระบบอาหารที่อิงกับความหลากหลายทางโปรตีน
ข้อมูลที่ถูกนำเสนอน่าสนใจมากขึ้นเมื่อกล่าวถึงเป้าหมายใหญ่ของประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 40% ภายในปี ค.ศ. 2030 และบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยหากไทยสามารถเพิ่มการบริโภคโปรตีนจากพืชให้ได้ 50% ภายในปีเดียวกัน ก็จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 35.5 ล้านตันต่อปี นั่นหมายถึงการบรรลุเป้าหมายตามข้อตกลงปารีสอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแค่ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจเองก็กำลังเติบโตตามทัน เช่น มูลค่าตลาดโปรตีนทางเลือกของไทยในปี พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 50,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโต 8% ต่อปี จนแตะระดับ 68,800 ล้านบาทภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งหมายความว่าโอกาสทางธุรกิจในระบบอาหารแบบใหม่กำลังมาแรงและชัดเจนกว่าที่เคย
มีการยกตัวอย่างแนวทางที่ประเทศอื่น ๆ กำลังดำเนินการจริงจัง เช่น สหราชอาณาจักรที่ตั้งเป้าลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง 30% และเพิ่มการบริโภคผักผลไม้ ฝรั่งเศสที่มีกฎหมาย Climate and Resilience Bill ตั้งแต่ปี 2023 ที่บังคับให้สถานประกอบการภาครัฐและรัฐวิสาหกิจต้องมีเมนูอาหารจากพืชทุกวัน เดนมาร์กที่วางแผนปฏิบัติการระดับชาติสำหรับอาหารจากพืชผ่านกระทรวงอาหาร การเกษตร และการประมง รวมถึงไต้หวันที่ออกกฎหมาย Climate Change Response Act ที่ระบุให้รัฐบาลต้องส่งเสริมอาหารคาร์บอนต่ำ อาหารจากพืช อาหารท้องถิ่น และลดขยะอาหารอย่างชัดเจน
เมื่อหันกลับมามองศักยภาพของประเทศไทย สอวช. เน้นว่า ประเทศไทยมีทั้งทรัพยากร วัตถุดิบ ภูมิปัญญา และฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง เป็นผู้ผลิตโปรตีนชั้นนำของโลก และยังเป็นแหล่งผลิต Plant-Based ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ที่สำคัญคือวัฒนธรรมการกินของคนไทยมีพื้นฐานของความหลากหลาย และมีศักยภาพจะเป็น “ศูนย์กลางโปรตีนที่ยั่งยืนของโลก” ได้หากมีการลงทุนและนโยบายสนับสนุนอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ดี ความท้าทายก็ยังมีอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสชาติของอาหารที่ยังไม่ตอบโจทย์คนไทยบางกลุ่ม หรือความกังวลเรื่องอาหารแปรรูปสูง (Ultra-Processed Food: UPF) ซึ่งย้ำว่า รัฐและฝ่ายวิชาการจำเป็นต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ผู้บริโภคเพื่อลดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและความลังเลในการบริโภค
จากทั้งโอกาสและอุปสรรค สอวช. จึงวางแผนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารอนาคตของไทยอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านแนวทางหลัก 3 ข้อ ได้แก่ การต่อยอดอุตสาหกรรมอาหารที่มีศักยภาพด้วยการสร้างกลไกบริษัทเกษตร (producer company) เพื่อให้เกษตรกรมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจากห่วงโซ่อุปทาน การต่อยอดวิจัยและพัฒนาวัตถุดิบเกษตรของไทยที่มีโปรตีนสูงให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่อร่อย ปลอดภัย และสนับสนุนการเกิดสตาร์ทอัพด้าน Foodtech และ Biotech และการต่อยอดตลาดผ่านการใช้วัตถุดิบและสูตรอาหารท้องถิ่นเป็น Soft Power พร้อมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจ และช่องทางให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารและโปรตีนจากพืชมากขึ้น
แผนดังกล่าวจะถูกนำไปดำเนินการจริงในช่วงปี ค.ศ. 2025–2027 ภายใต้ 3 มิติสำคัญ คือ หนึ่ง การสร้างเครือข่ายผู้ซื้อ–ผู้จำหน่าย (Buyer–Supplier Network) ในระบบอาหารจากพืช โดยเริ่มจากการสำรวจอุปสรรค จับคู่ธุรกิจ และจัดทำฐานข้อมูลเป้าหมายอย่างน้อย 30 ราย สอง การขับเคลื่อนนโยบายผ่านการหารือกับหน่วยงานภาครัฐ 20 แห่ง เพื่อร่วมผลักดันโครงการริเริ่มที่เป็นรูปธรรม
และสาม การสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระบบอาหาร ผ่านหลักสูตรอบรมระยะสั้น คัดเลือกบุคคลสำคัญ 15 คนจากหลากหลายสาขา เช่น เชฟ อินฟลูเอนเซอร์ อาจารย์ ผู้ประกอบการด้าน wellness เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้ขยายองค์ความรู้และแนวปฏิบัติไปสู่สังคมในวงกว้าง
นอกเหนือจากการขับเคลื่อนในระดับนโยบาย สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเปลี่ยนแปลงจากภายในองค์กรของ สอวช. เอง โดย นางสาวรติมา เอื้อธรรมาภิมุข นักยุทธศาสตร์ระดับสูง ได้เปิดเผยว่า สอวช. ได้รับเครื่องหมายรับรอง Carbon Footprint for Organization (CFO) และได้เริ่มดำเนินกิจกรรมรณรงค์ภายในให้ทุกการประชุมและกิจกรรมมีสัดส่วนของอาหารโปรตีนทางเลือก (Plant-Based) อย่างน้อย 30% เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังผลักดันในระดับประเทศ
Marriott International เครือโรงแรมระดับโลก ได้นำแนวคิดการจัดเมนูอาหารจากพืชมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานในระดับภูมิภาคอย่างจริงจัง โดยมุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการจัดหาวัตถุดิบอย่างรับผิดชอบ และออกแบบเมนูที่ตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
Ricarda Schneider ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ของ Marriott International เปิดเผยว่า Marriott มีแบรนด์โรงแรมในพอร์ตโฟลิโอมากกว่า 35 แบรนด์ กระจายอยู่ใน 22 ประเทศและดินแดนทั่วภูมิภาค และเฉพาะในประเทศไทยมีโรงแรมมากถึง 57 แห่ง
การดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ Marriott มุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางที่ไม่มีทางออกเดียวสำหรับทุกโรงแรม แต่ปรับให้เหมาะสมตามบริบท โดยมีเป้าหมายระยะยาวในการบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เธอหยิบยกคือ “อาหาร” โดยชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารของมนุษย์ โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนอาหารจากพืช มีศักยภาพในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 40–50% ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับฟังในเวทีเดียวกัน
Marriott ได้ดำเนินการหลากหลายประการในเรื่องนี้ เช่น กำหนดให้โรงแรมในเครือมีเมนูอาหารจากพืชอย่างน้อย 25–30% ทั้งในร้านอาหารและรูมเซอร์วิส จัดกิจกรรมเวิร์กช็อปและการแข่งขันอาหารจากพืชทั่วภูมิภาค พัฒนา Cookbook ที่รวมสูตรอาหารจากพืช เพื่อสนับสนุนเชฟและทีม F&B ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ โรงแรม Four Points by Sheraton สุขุมวิท 15 ในกรุงเทพฯ ได้จัดบุฟเฟต์อาหารจากพืชกว่า 100 รายการ โดยร่วมมือกับองค์กร Human World for Animals
นอกจากนี้ยังเน้นว่า เป้าหมายไม่ใช่การทำให้ทุกคนเป็นมังสวิรัติในทันที แต่เป็นการเปิดทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในบางพื้นที่ เช่น บาหลี หรือในยุโรปและออสเตรเลีย ที่มีลูกค้าองค์กรขอจัดประชุมพร้อมเมนูอาหารจากพืชโดยเฉพาะ
เธอสรุปว่า “สีเขียวคือเทรนด์ และความยั่งยืนคือกรอบความคิด” พร้อมย้ำว่า Marriott มุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงผ่านอาหาร การฝึกอบรม และการออกแบบเมนูที่สามารถเล่าเรื่องราวได้ และเธอเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจากความเข้าใจและความร่วมมือระยะยาวระหว่างทุกภาคส่วน
ก่อนปิดงาน เวทีเปิดให้ตัวแทนจากกลุ่มต่าง ๆ ตั้งแต่เกษตรกร ธุรกิจ ไปจนถึงผู้บริโภค ได้แชร์แนวทางที่ “ทำได้จริง” เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นได้จากระดับปัจเจกสู่ระดับโครงสร้าง
ประสบการณ์ของงานถูกปิดท้ายด้วยอาหารกลางวัน 3 คอร์สที่จัดเตรียมอย่างพิถีพิถัน โดยเชฟมากฝีมือซึ่งนำวัตถุดิบจากพืชท้องถิ่นและโปรตีนทางเลือก มาผสมผสานเป็นเมนูที่ทั้งสร้างสรรค์ น่าประทับใจ และส่งเสริมสุขภาพ พร้อมกิจกรรม networking ที่เปิดพื้นที่ให้เกิดการเชื่อมโยงและความร่วมมือในอนาคต
และนี่คือสารที่ส่งตรงจากเวทีเล็ก ๆ กลางกรุงเทพฯ สู่โต๊ะอาหารของคนไทยทั้งประเทศ เพราะบางที การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อาจเริ่มจากการที่เรามอง “จานข้าว” ของตัวเอง ด้วยมุมมองใหม่ๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง