การผลักดันให้เก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตราสูงถึง 50% โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นมากกว่านโยบายภาษีการค้าทั่วไป เพราะผลกระทบของมันกำลังสั่นสะเทือนอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ ทั้งในแง่ต้นทุนการผลิตและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานสีเขียวในระยะยาว
ทองแดงไม่ได้เป็นแค่โลหะธรรมดา แต่เป็นหัวใจของยานยนต์ยุคใหม่ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ต้องพึ่งพาทองแดงในระบบสายไฟ มอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ แบตเตอรี่ พอร์ตชาร์จ และแม้แต่ในตู้ชาร์จที่ตั้งอยู่ตามสถานีต่าง ๆ ทั่วเมือง ทองแดงคือวัสดุที่มีคุณสมบัติเด่น ทั้งทนทาน ดัดงอได้ เป็นตัวนำไฟฟ้าชั้นเยี่ยม และส่งกระแสได้อย่างเที่ยงตรง คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้กลายเป็น “เส้นเลือด” ของการขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าในรถ EV อย่างแท้จริง
ตัวเลขการใช้ทองแดงในรถแต่ละประเภทก็สะท้อนภาพความจำเป็นนี้ได้อย่างชัดเจน
ยังไม่นับรวมระบบโครงสร้างพื้นฐานรองรับ EV อย่างสถานีชาร์จไฟ ที่ล้วนต้องใช้ทองแดงในสายเคเบิล ตัวอย่างเช่น พอร์ตชาร์จของ BYD มีปริมาณทองแดงระหว่าง 1 ถึง 7 กิโลกรัม ขึ้นกับระดับพลังงานที่ส่งออกได้ ส่วนข้อมูลจากปี 2016 พบว่าตู้ชาร์จของ BYD ในปีนั้นใช้ทองแดงรวมกันมากกว่า 133,810 กิโลกรัม
ทั้งหมดนี้ตอกย้ำว่า ทองแดงคือวัตถุดิบที่ขาดไม่ได้สำหรับอนาคตของอุตสาหกรรม EV และหากโลกกำลังมุ่งหน้าสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบพลังงานสะอาด ทองแดงก็คือ "กุญแจ" ที่จะไขประตูนั้น
การขู่เก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสร้างความวิตกในภาคยานยนต์ของสหรัฐฯ เนื่องจากอาจยิ่งทำให้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์รับภาระภาษีชายแดนและต้นทุนที่เพิ่มสูงได้ยากขึ้น ทั้งจากราคาทองแดงที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และการพึ่งพาการนำเข้าทองแดง อะลูมิเนียม และเหล็กเป็นหลักในตลาดสหรัฐฯ
แม้ภาษีอาจพอจัดการได้ แต่ราคาทองแดงซึ่งเป็นโลหะสำคัญในการผลิตรถยนต์ โดยเฉพาะในระบบสายไฟและมอเตอร์ของรถยนต์ไฟฟ้า กลับพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การสร้างกำลังการผลิตในประเทศอาจใช้เวลาหลายปี ส่งผลให้ผู้ใช้ต้องแย่งซื้อทองแดงจากซัพพลายเออร์ที่มีจำกัด ยิ่งกระตุ้นให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอีก
เมื่อรวมกับภาษีนำเข้าโลหะเหล่านี้และราคาภายในประเทศที่สูงขึ้น ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ซ้ำเติมภาระทางการเงินของผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ชิ้นส่วน จากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร นักวิเคราะห์ และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมจำนวนสิบรายของรอยเตอร์
จนถึงขณะนี้ บริษัทรถยนต์ยังคงใช้สินค้าคงคลังที่มีอยู่เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นราคา แต่ในที่สุดก็อาจต้องผลักภาระต้นทุนภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค
บริษัทรถยนต์บางราย เช่น ฟอร์ด และโตโยต้า ได้ประกาศขึ้นราคาเพื่อรับมือกับภาษีอื่น ๆ ที่ทรัมป์เป็นผู้ผลักดันแล้ว ขณะที่ปอร์เช่คาดว่าภาษีสำหรับเดือนเมษายนและพฤษภาคมเพียงสองเดือนจะกระทบผลประกอบการถึง 351 ล้านดอลลาร์
ภาษีทองแดงทำให้สถานการณ์ที่ยากอยู่แล้วซับซ้อนขึ้นไปอีก
ดาน เดอ ยอง หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านอุปสงค์และราคาทองแดงจาก Benchmark Mineral Intelligence กล่าว
การประกาศภาษีของทรัมป์ในสัปดาห์นี้ ผลักดันราคาทองแดงในตลาด COMEX ของสหรัฐฯ ให้พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.6820 ดอลลาร์ต่อปอนด์ หรือ 12,526 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดโลหะลอนดอน (LME) ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ราว 9,600 ดอลลาร์ต่อเมตริกตัน มากกว่า 2,920 ดอลลาร์
ค่าเบี้ยประกันส่งมอบอะลูมิเนียมแบบรวมภาษีในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐฯ ที่จ่ายเพิ่มจากราคาตลาด LME ได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า มาอยู่ที่ 60 เซนต์ต่อปอนด์ นับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง ในขณะที่ราคา LME ลดลง 3% เหลือ 2,604 ดอลลาร์ต่อเมตริกตันในช่วงเวลาเดียวกัน
บริษัทรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง จีเอ็ม ฟอร์ด และ Stellantis ผู้ผลิต Jeep ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นสำหรับรายงานชิ้นนี้
ซัพพลายเออร์เริ่มผลักภาระบางส่วน
หลังจากเกิดความปั่นป่วนในตลาดทองแดงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซัพพลายเออร์ของผู้ผลิตรถยนต์ได้เริ่มแจ้งลูกค้าในสัปดาห์นี้ให้จ่ายเงินเพิ่ม เพราะไม่สามารถรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
แหล่งข่าวจากบริษัทซัพพลายเออร์รายใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ ระบุว่า บริษัทได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากราคาทองแดง อะลูมิเนียม และเหล็กที่สูงขึ้น โดยสถานการณ์นี้สร้างทั้งความตึงเครียงทางการค้าและช่องว่างต้นทุนเชิงโครงสร้าง แหล่งข่าวรายนี้ขอไม่เปิดเผยชื่อเนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดในที่สาธารณะ
แม้ภาษียังไม่เริ่มบังคับใช้ ผู้ใช้งานทองแดงในสหรัฐฯ ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นแล้ว ทาคาชิ อิมามูระ เจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทการค้าญี่ปุ่น มารูเบนิ กล่าวว่า ภาษีทองแดงจะหมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภคในสหรัฐฯ
เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ทบทวนความเสียหาย ผมคาดว่าพวกเขาจะลดหรือยกเลิกภาษีในที่สุด
ซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนรถยนต์กำลังเผชิญแรงกดดัน เมลาเนีย ไวท์ ประธานบริษัท Hellwig Products ผู้ผลิตชิ้นส่วนระบบกันสะเทือน กล่าวว่า ราคาของเหล็กได้เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า นับตั้งแต่ปี 2018 โดยภาษีเหล็กได้ทำให้เกิดการแย่งชิงจากซัพพลายเออร์ในประเทศสหรัฐฯ ทำให้หาซื้อวัตถุดิบได้ยากขึ้น
ธุรกิจที่มีพนักงานราว 50 คน ต้องลดค่าใช้จ่ายลงด้วยการเลื่อนการซื้ออุปกรณ์ใหม่ หรือไม่จ้างคนมาแทนตำแหน่งที่ว่าง มันส่งผลกระทบต่อหลายอย่างมาก
จากการประเมินของ Cox Automotive และ Benchmark Mineral Intelligence เกี่ยวกับภาษีที่มีอยู่แล้ว และอัตราภาษีทองแดงที่กำลังจะมา อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ อาจต้องจ่ายภาษีขั้นต่ำเฉลี่ย 1,700 ดอลลาร์ต่อรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ, 3,500 ดอลลาร์ต่อคันสำหรับรถยนต์ที่นำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกภายใต้ข้อตกลง USMCA และสูงถึง 5,700 ดอลลาร์ต่อคันสำหรับรถที่นำเข้าจากประเทศอื่น
ตัวเลขเหล่านี้กลายเป็นภาระมหาศาลในอุตสาหกรรมที่มีกำไรต่ำ โดยราคาขายเฉลี่ยของรถยนต์ใหม่ในสหรัฐฯ เดือนมิถุนายนอยู่ที่ 46,233 ดอลลาร์ ตามข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา J.D. Power
บริษัทที่ปรึกษา CRU Group ประเมินว่า รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปหรือรถยนต์ไฮบริดหนึ่งคันต้องใช้ทองแดงเฉลี่ย 24 กิโลกรัม (53 ปอนด์) ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าใช้ประมาณ 59 กิโลกรัม
แดน เฮียร์ช หัวหน้าร่วมระดับโลกด้านยานยนต์และอุตสาหกรรมจากบริษัทที่ปรึกษา AlixPartners กล่าวว่า ข้อตกลงกับซัพพลายเออร์มักจะอิงกับราคาทองแดง และมีการปรับเป็นระยะทุกไม่กี่เดือน แต่การพุ่งขึ้นของราคาทองแดงในสัปดาห์นี้ทำให้ซัพพลายเออร์รถยนต์ต้องไปเจรจากับลูกค้าโดยตรงว่า
แม้บางฝ่ายในอุตสาหกรรมยังไม่เชื่อว่าภาษีทองแดงจะถูกนำมาใช้จริง โดยทรัมป์มีประวัติการขู่เก็บภาษีแล้วถอยหรือเลื่อนออกไปในภายหลัง
แอนดี เลย์แลนด์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทวิเคราะห์ซัพพลายเชน SC Insights กล่าวว่า ภาษีทองแดงน่าจะมีอายุสั้น เพราะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากภาษีชายแดนจะชนกับความเป็นจริงทางการเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายน ปี 2026
ข่าวที่เกี่ยวข้อง