Net Zero หนุนความต้องการไฟฟ้าสีเขียวพุ่ง บวกเพิ่มจากค่าไฟปกติ 6 สตางค์ต่อหน่วย

ทั้งนี้เพื่อที่จะสนับสนุนให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม มีทางเลือกในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานนํ้า แสงอาทิตย์ และพลังงานลม พร้อมได้รับใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Cerifcate: REC) ที่จะนำไปสนับสนุนความยั่งยืนขององค์กร และการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของธุรกิจได้

UGT เป็นอัตราค่าบริการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำหน่ายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อจำหน่ายให้องค์กรหรือหน่วยงานที่มีมีความประสงค์จะใช้พลังงานสะอาด โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ UGT1 และ UGT2 ซึ่งมีความแตกต่างกัน โดย UGT1 เหมาะสำหรับผู้ซื้อไฟฟ้าปริมาณน้อยถึงปานกลาง ที่ไม่เจาะจงแหล่งที่มาของพลังงานหมุนเวียน มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี

โดยกำหนดอัตราค่าบริการที่เพิ่มจากค่าไฟฟ้าปกติ 6 สตางค์ต่อหน่วย หรือราว 4.04 บาทต่อหน่วย ซึ่งไฟฟ้าที่มานั้นจะผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังงานนํ้า 7 แห่งของกฟผ. ซึ่งทางการไฟฟาฝ่ายจำหน่าย(กฟน.และกฟภ.) ได้จัดเตรียม UGT1 ไว้รองรับความต้องการเป็นปริมาณรวมประมาณ 2,000 ล้านหน่วยต่อปี

ความคืบหน้าในส่วนนี้ ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ประกาศราคาไฟฟ้าสีเขียวประเภทไม่เจาะจงแหล่งที่มาของไฟฟ้า หรือ UGT1 และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าสีเขียวได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ปัจจุบันมีผู้สนใจสมัครเข้ามากกว่า 200 ราย มีความต้องการประมาณ 450-500 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งอยู่ระหว่างการลงนามในสัญญาก่อนที่จะมีการซื้อขายจริงเกิดขึ้น

ส่วน UGT 2 เป็นไฟฟ้าสีเขียวที่ให้ความยืดหยุ่นในการเลือกแหล่งพลังงานหมุนเวียน มีระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้า 10-15 ปี ค่าไฟฟ้าคิดจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแหล่งไฟฟ้าที่ผู้ซื้อเลือก บวกค่าใช้จ่ายดำเนินการ ซึ่งปัจจุบันกกพ.อยู่ระหว่างการออกหลักเกณฑ์และการทบทวนอัตราค่าบริการตามระดับแรงดันไฟฟ้า ตามเป้าหมายเดิม คาดว่าจะประกาศใช้ได้ในเดือนกันยายน 2568

ทั้งนี้ มีการประมาณการณ์ว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียวในตลาด UGT จะมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 30% ในช่วง 6 ปีข้างหน้า จากแหล่งผลิตที่จะเข้ามาในตลาด UGT ใน 3 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มแรก จากโรงไฟฟ้าพลังงานนํ้า 7 แห่งของ กฟผ. ซึ่งรองรับการจำหน่ายในกลุ่ม UGT1 ให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 3, 4, 5 ในปี 2568 และทุกประเภทในปี 2569 เป็นต้นไป จะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,300-3,500 ล้านหน่วยต่อปี จากการเริ่มเข้าตลาดตั้งแต่ปีนี้

กลุ่มที่ 2 เพื่อรองรับการจำหน่ายในกลุ่ม UGT2 จะมาจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานแสงอาทิตย์แบบผสมผสานระบบกักเก็บพลังงาน และพลังงานลมภายใต้สัญญา Feed in Tarift (FiT) ระยะที่ 1 จะเริ่มเข้าตลาด ตั้งแต่ปี 2568 ด้วยกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 4,300-4,400 ล้านหน่วยต่อปี และกลุ่มที่ 3 จะมาจากโครงการ Feed in Tarift (FiT) ระยะที่ 2 จะเริ่มเช้าสู่ตลาด ตั้งแต่ปี 2571 ด้วยปริมาณการผลิตไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 4,600-4,700 ล้านหน่วยต่อปี

หากพิจารณาจากแหล่งไฟฟ้าสีเขียว 3 กลุ่ม คาดว่าปริมาณไฟฟ้าสีเขียวจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.1 หมื่นล้านหน่วย ในปี 2573 สามารถรองรับความต้องการของภาคธุรกิจได้เพียง 10% ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มธุรกิจ ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสีเขียวของภาคธุรกิจในไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยที่ถูกผลักดันสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี 2593 และหลายประเทศทั่วโลก

ไม่ว่าจะเป็น มาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต เช่น มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่กดดันให้ผู้ส่งออกไทยลดการปล่อยคาร์บอน ถ้าไม่ดำเนินการอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงมาตรการจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ของไทยที่จะนำมาใช้

นอกจากนี้ ความต้องการของภาคเอกชน บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นหนึ่งในเป้าหมาย ESG ที่สำคัญ แม้ว่าผู้ประกอบการหลายรายจะผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเอง แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียวที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากไทยต้องการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น Data center ซึ่งมีความ ต้องการการใช้ไฟฟ้าสีเขียวสูง จะยิ่งทำให้ตลาดไฟฟ้าสีเขียวขยายตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 อีกทั้ง ปริมาณไฟฟ้าสีเขียวในตลาด UGT มีโอกาสจะเติบโตได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.1 หมื่นล้านหน่วยไฟฟ้า เมื่อมีการประกาศแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือ พีดีพีฉบับใหม่ ที่อยู่ระหว่าการจัดทำ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมมากกว่าเท่าตัว เมื่อเทียบกับแผน PDP 2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ทั้งผู้ผลิตไฟฟ้าสีเขียว สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น และภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงไฟฟ้าสีเขียวได้ตามความต้องการ