กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดรับฟังความเห็นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ท่ามกลางความกังวลภาคธุรกิจและนักลงทุนว่ากฎหมายฉบับนี้อาจฉุดการเติบโตของตลาดโซลาร์รูฟท็อปมูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาท และขัดแย้งกับนโยบายลดขั้นตอนราชการที่รัฐบาลผลักดัน
ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ttb analytics ชี้ตลาดโซลาร์รูฟท็อปไทยกำลังบูมอย่างต่อเนื่อง โต 22% ต่อปี จากมูลค่าปัจจุบัน 6.7 หมื่นล้านบาท ขับเคลื่อนโดยต้นทุนติดตั้งที่ลดลงจากอดีต ทำให้ระยะเวลาคืนทุนสั้นลงเหลือ 6-8 ปี
แต่ร่างกฎหมายฉบับใหม่กลับสร้างความกังวลให้ผู้ประกอบการว่าอาจเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของธุรกิจ เนื่องจากยังคงมีการรวบอำนาจการอนุญาตไว้ที่รัฐมนตรี แทนที่จะลดขั้นตอนตามเจตนารมณ์เดิม
มติคณะรัฐมนตรี 27 มี.ค.68 กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เป็นหน่วยงาน one stop service รับผิดชอบการออกใบอนุญาตทั้งหมดภายใน 180 วัน เพื่อลดภาระผู้ประกอบการที่ต้องวิ่งขออนุญาตหลายหน่วยงาน แต่ร่าง พ.ร.บ.กลับให้อำนาจรัฐมนตรีพลังงานในการประกาศกำหนดหลายเรื่องสำคัญ อาทิ การเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า การกำหนดลักษณะสถานที่ติดตั้ง และแม้แต่อัตราค่าไฟซื้อขาย ซึ่งอาจสร้างความไม่แน่นอนทางธุรกิจ
"ผู้ประกอบการต้องการความชัดเจนในกติกา ไม่ใช่รอประกาศที่ออกมาทีหลัง" แหล่งข่าวในวงการพลังงานเผย
ปัจจุบันอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ในประเทศเริ่มขยายตัวตามตลาด ทั้งการผลิตแผงเซลล์ อุปกรณ์ติดตั้ง และบริการหลังการขาย หากกฎหมายสร้างอุปสรรคใหม่ อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและการจ้างงานในห่วงโซ่ที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ตามโซลาร์รูฟท็อปไม่เพียงช่วยลดค่าไฟฟ้าของครัวเรือนและธุรกิจ แต่ยังช่วยลดการพึ่งพิงไฟฟ้าในระบบ ทำให้ภาครัฐประหยัดการลงทุนโครงสร้างไฟฟ้าได้มหาศาล ดังนั้นนโยบายสนับสนุนพลังงานสะอาดของรัฐบาลจะต้องสอดคล้องกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน ไม่ใช่สร้างกำแพงราชการใหม่ขึ้นมา
นอกจากนี้ในมาตรา 17 ที่ให้อำนาจกำหนดอัตราค่าไฟซื้อขายต้องมีกลไกโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการผูกขาดหรือการกำหนดราคาที่ไม่เป็นธรรม ในขณะที่ตลาดพลังงานที่มีประสิทธิภาพต้องให้อิสระในการซื้อขายภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่การควบคุมราคาแบบรวมศูนย์
ทั้งนี้ไทยตั้งเป้าสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 30% ภายในปี 2580 โดยโซลาร์รูฟท็อปเป็นกลไกสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ หากกฎหมายสร้างอุปสรรค อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้านพลังงานสะอาด รวมทั้งการลงทุนต่างชาติในภาคพลังงานสะอาดก็อาจได้รับผลกระทบหากมองว่ากรอบกฎหมายไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ
"กฎหมายที่ดีต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ไม่ใช่สร้างความไม่แน่นอน หากต้องการส่งเสริมจริง ต้องลดอุปสรรค ไม่ใช่เพิ่มขั้นตอน" แหล่งข่าวระบุ
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือ การที่ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ...นี้ได้มีการกำหนดไว้ด้วยว่าให้อำนาจกับเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ที่รมว.พลังงานแต่งตั้งสามารถเข้าไปในเคหสถานรวมถึงบ้านพักได้ หากมีการแจ้งเหตุว่าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.นี้กำหนด ปัญหาที่จะตามมาก็คือ อาจมีการใช้กฎหมายนี้ในการกลั่นแกล้งแจ้งความเท็จเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปรื้อถอนโซลาร์เซลล์ได้โดยดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้ดุลยพินิจได้อย่างเสรี จนเกินขอบเขตและเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ ซึ่งการที่กฎหมายเปิดช่องให้มีการบุกรุกเข้าไปในอาคารและเคหะสถานได้นี้ย่อมขัดกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของบุคคล แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือเป็นการลิดรอนหรือจำกัดสิทธิดังกล่าวลงทำให้กฎหมายฉบับนี้ขัดต่อหลักการของรัฐธรรมนูญ